“งั้นจูบฟินน์หน่อยสิ” เสียงอ้อนวอนของหญิงสาวเหมือนน้ำมันที่ตั้งใจราดลงบนกองไฟ ให้ไฟราคะในกายของเขาพลุ่งพล่าน
ทว่ายังมีสติหักห้ามใจไว้ได้ ธนาจับมือเล็กที่วางทาบอยู่บนแผงอก ตรงตำแหน่งที่เป็นจุดกระสันของเขาผ่านเสื้อคลุมบนลำตัว
กลัวว่ามือซุกซนจะล่วงล้ำอาณาเขตของเขาไปมากกว่านี้
“จะบ้าเหรอ ฟ้าได้ผ่าพอดี” สีหน้าของคนพูดยังคงเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ทว่าหัวใจกลับเต้นผิดจังหวะ
ต้องเป็นเพราะเหล้าแน่ ๆ เขาถึงได้ใจเต้นแรงกับพิชชาได้
“ตอนนี้ฝนไม่ได้ตกสักหน่อย ฟ้าจะผ่าได้ไง” เจ้าของเสียงแผ่วเบาแต่ราวกับอาบไว้ด้วยน้ำผึ้งเถียงทันควัน
แม้ศีรษะจะหนักอึ้งเหมือนถูกก้อนหินกดทับ แต่ก็พอรู้ว่าข้างนอกไร้วี่แววของฟ้าฝน
“เลิกเล่นได้แล้ว ถ้าเมาก็นอนซะ” เขาพ่นน้ำเสียงดุใส่เธอ ก่อนหมายจะลุกออกจากร่างนุ่มนิ่ม อยู่ให้ห่างจากพิชชาให้มากที่สุด
ทว่าน้ำเสียงดุดันของคุณหมอ กลับยิ่งทำให้ความฮึกเหิมในใจหญิงสาวทวีคูณ
“บอกให้จูบไง ทำไม...ปากฟินน์มันไม่น่าจูบเหรอ” ดวงตาคู่งามสะท้อนความรู้สึกอันหลากหลาย น้ำตาคลอเบ้า
หากแต่ปลายจมูกของหญิงสาวจรดอยู่ที่ใบหูของเขา พ่นลมหายใจผ่าวร้อนลงมาซ้ำ ๆ
ธนาตัวแข็งทื่อในวินาทีนั้น...
น้อยคนนักจะรู้ว่าใบหูของเขาไวต่อสัมผัส...
พิชชาเบียดร่างนุ่มของเธอเข้ามาราวกับล่วงรู้ ก้อนนุ่มนิ่มสองก้อนขยับไหวอยู่บนแผงอกแข็งแรง
ชายหนุ่มเกร็งกล้ามท้องโดยไม่รู้ตัว เมื่อมือเล็กไล้ผ่านกล้ามนูนแน่นและกำลังเลื้อยต่ำลงไปเรื่อย ๆ ใบหน้าและลำคอของธนาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“ฟินน์จะถามพี่ธนาเป็นครั้งสุดท้าย ปากฟินน์มันไม่น่าจูบเหรอ ทำไมพี่ธนาถึงไม่จูบฟินน์”
ไม่ใช่เว้ย! ปากแบบเธอน่ะน่าจูบเป็นบ้า!
เขาแทบจะหลุดคำนี้ออกมา แต่ยังยั้งไว้ได้ทัน แม้จะถูกพิชชามองมาด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น ป่านนี้เขาจับถอดเสื้อผ้าไปแล้ว
“บอกให้นอนไง เมามากแล้วรู้ตัวไหม” คราวนี้น้ำเสียงของธนาดุดันน่าเกรงขาม ด้วยหวังจะให้คนเมาได้สติ
แต่โบราณว่าไว้ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ
“ก็เพราะฟินน์เมาไง พี่ธนาถึงต้องจูบฟินน์ตอนนี้ จูบฟินน์สิ เดี๋ยวนี้”
“ยัย…!” ตอนที่เปิดปากออก พิชชาก็ฉวยโอกาสประกบริมฝีปากเข้ามา สอดลิ้นลุกล้ำเข้ามาในโพรงปากในพริบตานั้น ไล้เลียไปทั่ว ดูดดุนลิ้น ลิ้มรสชาติของเตกีล่าที่ยังหลงเหลืออยู่ในปาก
ถึงเธอจะไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ร่างกายที่ถูกครอบงำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็เหมือนจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
ชายหนุ่มส่งเสียงครางต่ำในลำคอเมื่อถูกคนตัวเล็กไล่ต้อนในโพรงปากไม่หยุด แล้วเรียวลิ้นที่หลบหนีการรุกไล่ก็ยอมจำนนในที่สุด
เปรี๊ยะ!
เหมือนเส้นอะไรบางอย่างที่ถูกดึงจนขาด
ตบะในตัวธนาแตกซ่าน...
เขาปล่อยมือของหญิงสาวให้เป็นอิสระ เลื่อนมาบีบคางเล็ก ดันมันขึ้นให้ใบหน้านวลขาวแหงนเงยในองศาที่ต้องการ ทุกครั้งที่ลิ้นของทั้งสองเสียดสี ส่วนกึ่งกลางกายของทั้งคู่ก็ถูไถกัน
มือเล็กแทรกสอดเข้าไปในสาบเสื้อ เคลื่อนต่ำไปยังท้องน้อยที่เกร็งจนขึ้นลอน ปลายนิ้วไล้ผ่านกล้ามเนื้อสวยที่แผ่นท้องไปจนถึงช่วงเอว
กระแสซาบซ่านไหลบ่าไปทั่วทั้งตัวของพิชชา ขนอ่อนบนผิวกายลุกชัน แม้จะอยู่ในอาการของคนยังไม่สร่างเมา ทว่าเธอก็รับรู้ได้…
หัวใจกำลังเต้นแรง รู้สึกวาบหวาม ท้องน้อยหวิววูบหนักอึ้ง
มุมปากของชายหนุ่มโค้งขึ้น พึงพอใจต่อการตอบสนองของเธอ บดเบียดตัวตนเข้าหาร่างอ่อนนุ่มตามสัญชาตญาณ
ในตอนนั้นพิชชาจึงสัมผัสได้ว่าของแข็งอุ่นร้อนภายใต้เสื้อคลุมมันเลื่อมของเขากำลังทิ่มตำท้องน้อยของตัวเอง
จึงหยุดทุกการกระทำด้วยการถอนริมฝีปากออก
เมื่อทุกอย่างหยุดลงกลางคัน ชายหนุ่มถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ หลุบตาลงมองใบหน้างดงาม นัยน์ตาที่ปรือมองเขาอยู่ตอนนี้ฉ่ำวาว
ริมฝีปากหยักสวยเห่อบวม โหนกแก้มขึ้นสีระเรื่อ ในขณะที่ลำคอและแผงอกภายใต้เสื้อคลุมเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อไม่ต่างกัน
“แค่นี้เองเหรอ” จิตใต้สำนึกของเขาตะโกนดังลั่นอยู่ข้างในเหมือนต้องการจะเตือนสติ แต่ปากดันถามออกไป
เจ้าของเรียวลิ้นนุ่มที่จูบกับเขาเมื่อครู่นี้ เป็นน้องสาวของเพื่อนสนิท
ส่วนเขากับพิชชาอยู่ในสถานะ ‘พี่น้อง’ มาตลอดสิบปีนี้
แต่ถึงสมองจะรับรู้ก็เปล่าประโยชน์...
เรื่องแบบนี้...สัญชาตญาณต่างหากที่อยู่เหนือกว่า