ตอนที่ 6 ทำอะไรลงไป NC
หัวใจดวงเล็กสั่นสะท้าน เมื่อเขาเข้าเล่นงานทุกจุดอ่อนไหว มือหนึ่งขยี้ปลายถันสีระเรื่อ อีกมือขยี้ติ่งเกสรจนซ่านสยิวไม่รู้จุดที่แน่นอน
“อ๊า~”
“หันหลัง” เขาออกคำสั่งพร้อมกับจับตัวเธอให้ทำตามคำสั่ง
ก่อนที่ความแข็งขึงจะสอดใส่เข้ามาทางด้านหลังในท่าที่เธอคลานเข่าอยู่บนโซฟาอีกครั้ง สะโพกกลมกลึงถูกรั้งเข้าหา ถูกคลี่คลึงสำรวจทุกจุดไปพร้อม ๆ กับการกระแทกกระทั้นไม่เว้นช่วง
เธอจะตายแล้ว ครั้งแรกของเธอมันไม่ควรจะอ่อนโยนกว่านี้ แต่เพราะเธอเลือกเส้นทางนี้เองจะโทษใครได้
“อ๊า แม่งโคตรเสียว” เขาสบถคำหยาบมาพร้อมกับเสียงคำรามใบลำคอ ลมหายใจของเขารุนแรงขึ้นเช่นเดียวกับจังหวะที่ถาโถมเข้าใส่ตัวเธอ
“มะ ไม่ไหวแล้ว อื้อ!”
ปากบอกว่าไม่ไหว เสียงครางหวานสั่น ๆ ก็ดังตามจนคนฟังแยกไม่ออกว่ามันเป็นเสียงครางแห่งความสุขสมหรือร้องไห้ ทว่ามันปลุกเร้าอารมณ์และความดิบเถื่อนของเขาได้ดีเหลือเกิน จนต้องกระแทกแก่นกายเข้าใส่ด้วยจังหวะหยาบโลน
“ใกล้แล้ว” เขาบอกเสียงพร่าก่อนจะเร่งจังหวะเร็วขึ้น
ความปรารถนาโผนทะยานในวินาทีต่อมา ก่อนจะกระจัดกระจายไปพร้อม ๆ กับร่างบอบบางที่กำลังสั่นสะท้านและกระตุกเกร็ง ช่องทางที่รองรับความอลังการที่เข้ามาบีบรัดส่วนกลางกายของเขาที่กำลังปลดปล่อยของเหลวขุ่นออกมา
เสียงกรีดร้องและเสียงคำรามดังประสานกันราวกับสุขสม ภายในสมองยุ่งเหยิงวุ่นวาย สายตาของมิรินราวกับเห็นภาพซ้อนจนต้องทรุดตัวนอนลงกับโซฟาตัวนั้นอย่างอ่อนแรง ก่อนที่ลมหายใจอุ่นอ้าวและกายหนาของใครบางคนจะทาบทับลงมาบนตัวเธอ
“อย่าเพิ่งยอมแพ้ คืนนี้ของเธอมันอีกนาน” เขากระซิบลงข้างหู ก่อนจะยิ้มมุมปากและหัวเราะในลำคอราวกับปีศาจร้าย
มิรินรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเขาเอ่ยคำนั้น หรือว่าคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ต้องอยู่บนโลกนี้จริง ๆ เพียงเพราะเธอเลือกเส้นทางผิด
วันต่อมา
เจ้าของดวงตากลมโตค่อย ๆ ขยับกายไปมาเมื่อมีเสียงบางอย่างดังเข้ามารบกวนในโสตประสาท ความรู้สึกแรกยังคล้ายกับว่าเธอนอนอยู่บ้านของตัวเองและเสียงที่ดังรบกวนนั้นเป็นเสียงของแม่ที่ดังมาให้ได้ยินทุกเช้า
ทว่า เมื่อสติค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น ถึงรู้ว่าตอนนี้เธอไม่มีทางได้ยินเสียงนั้นอีกแล้ว ซ้ำอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดร้าวระปมไปทั้งร่างก็ตอกย้ำว่ามีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ เหมือนมันจะเปิดไม่ขึ้น รู้สึกหนักอึ้งเหลือเกิน ภาพที่ไม่ค่อยชัดเจนนั้นมีร่างกำยำของใครบางคนกำลังเดินออกไปจากห้อง ก่อนที่เสียงพูดคุยระหว่างผู้ชายสองคนจะดังขึ้น
มิรินรีบขยับตัวลุกขึ้น ดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมตัวเมื่อรับรู้ว่าตัวเองไม่ได้ใส่อะไรเลยสักชิ้น ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาก็ฉายชัดขึ้นมาในหัวจนทำให้ใจดวงเล็กสั่นสะท้าน ไหนจะมีคนแปลกหน้าที่กำลังมาตอนนี้อีก เขาคงไม่...
“มึงอย่าบอกนะว่า” เสียงนั้นดังขึ้นก่อนที่ใครบางคนจะเปิดประตูเข้ามาอย่างไร้มารยาท
เล่นเอาคนที่นั่งอยู่บนเตียงตกใจจนต้องเบิกตาโพรง
หน้าตาเขาเหมือนกับผู้ชายที่ร่วมรักกันมาทั้งคืนแต่เธอรู้ว่าไม่ใช่ เพราะการแต่งตัวของเขา
“ไอ้เหี้ย” เขาคนนั้นรีบปิดประตูก่อนจะก้าวขายาว ๆ มาทางฝาแฝดของตัวเองที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาราวกับว่าไม่มีเรื่องใดให้ต้องตกใจ “มึงไปทำเขาทำไมไอ้ใต้หล้า”
“มีคนเสนอ กูก็สนอง”
“แล้วมึงทำแบบนี้จะรับผิดชอบชีวิตเขาหรือไง”
“ไม่พอใจนักมึงไม่เอาไปเลี้ยงเองเลยล่ะ” ใต้หล้าพูดออกมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบเป็นจังหวะเดียวกับที่เท้าเล็กก้าวออกจากห้องพอดี
แม้จะใส่เสื้อผ้าครบทุกชิ้นแต่ยังพอให้เห็นร่องรอยี่เขาฝากเอาไว้เมื่อคืน มีรอยแดงเป็นจ้ำหลายจุดที่ลำคอราวกับต้องการจะบอกว่าสิ่งนี้มันกลายเป็นของเขาแล้วและจะทำอะไรก็ได้
เขาปรายตามองเธอด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ก่อนจะเบือนหน้ามาอีกทาง ใต้ฝุ่นได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเรียกให้อีกคนมานั่ง
“มานั่งคุยกันหน่อยสิ”
มิรินพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอลังเลอยู่ว่าจะเลือกนั่งฝั่งไหนระหว่างคนที่ทำหน้าเหมือนยักษ์กับอีกคนที่ดูเป็นมิตรกว่า แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเดินไปนั่งข้างคนหน้าดุ โดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“เราชื่ออะไรนะ” ไต้ฝุ่นถามพร้อมกับขยับตัวพิงกับโซฟาตัวใหญ่ สายตาจับจ้องไปยังเจ้าของร่างบาง ที่ตอนนี้ท่าทางอิดโรยเต็มทน
ไม่รู้ว่าไอ้แฝดนรกนี่มันทำอะไรเขาไปบ้าง
“มิรินค่ะ”
“อืม แล้วตอนนี้จะเอายังไง”
มิรินเงียบก่อนจะหันไปมองอีกคนที่ไม่แม้แต่จะปริปากพูดอะไรออกมา เล่นเอาเธออึดอัด
“ถ้าขออยู่ที่นี่ไปก่อนได้ไหมคะ”
“ไม่มีญาติเลยเหรอ” ไต่ฝุ่นเองก็ไม่เข้าใจ คนเรามันจะไม่เหลือใครถึงกับต้องมาพึ่งพาคนแปลกหน้าเลยหรือ
“ไม่มีค่ะ หรืออาจจะมีแต่หนูไม่รู้จักใครเพราะแม้พาหนูย้ายที่อยู่ตั้งแต่เด็ก”
“พ่อล่ะ”
“พ่อก็ไม่เจอกันตั้งแต่เด็กแล้ว แม่ไม่ให้ติดต่อ” เธอพูดความจริงทุกอย่าง
“พวกพี่ก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่ จะช่วยเราได้ยังไงอะ แต่เราโอเคเหรอถ้าจะอยู่ที่นี่กับมัน”ไต้ฝุ่นถามก่อนจะหันหน้าไปมองไอ้คนที่มันนั่งเงียบ ไม่ยอมออกความเห็น จนเขาแปลกใจ
เพราะเมื่อคืนมันยังโวยวายอยู่เลยที่ต้องพาเด็กมาอยู่ห้องด้วย แต่ตอนนี้ไม่รู้ไปโดนตัวไหนมา หรือจะเป็นตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่นี้ กินไปแล้วไงมันถึงพูดไม่ออก
“พี่ใต้หล้า เขารับปากว่าจะช่วย” เธอรวบรวมความกล้าพูดออกไป จนอีกคนค่อย ๆ หันมามองพร้อมกับทำหน้าดุ จนเธอเริ่มไม่มั่นใจ “หรือไม่ใช่”
“จะอยู่ก็อยู่ไป แต่อย่างทำให้ฉันรำคาญก็พอ” เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำ
“เรายังเรียนอยู่ใช่ไหม”
“ค่ะ”
“แล้วจะเรียนอยู่หรือว่ายังไง”
“อยากเรียนค่ะ แต่ไม่รู้ว่า” เธอพูดไม่ทันจบอีกคนก็พูดแทรกขึ้นมา
“ถ้ามันรับปากแล้วก็ให้มันช่วยแล้วกัน” ไม่ใช่เรื่องยากของไอ้ใต้หล้านักหรอกแค่จะส่งผู้หญิงสักคนเรียนให้จบ แต่มันเป็นเรื่องแปลกสำหรับเขามากกว่าเพราะปกติแล้วมันไม่ใช่คนที่จะให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตง่าย ๆ หรือมันคิดว่า...
ข้อแลกเปลี่ยนนั้นมันคุ้มค่าแล้ว
“เขาจะช่วยหนูจริง ๆ ใช่ไหม” ตอนนี้เธอเริ่มไม่มั่นใจ เพราะเมื่อคืนกับตอนนี้เขาเหมือนเป็นคนละคน ตอนนี้เขามองเธอเหมือนไม่มีตัวตนอยู่เลย
“ไม่มั่นใจทำไมถึงกล้าแลกล่ะ” ไต้ฝุ่นถามอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ได้อยากถามเพื่อทำร้ายจิตใจใคร แต่เขาก็อยากรู้ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้
“หนูไม่มีทางออก”
“วิธีนี้มันก็ไม่ใช่ทางออก”
“...” มิรินเงียบ รู้สึกว่าใบหน้ามันร้อนผ่าว ลามไปถึงเบ้าตาจนทำให้มีน้ำใส ๆ เอ่อนองขึ้นมา “หนูคิดอะไรไม่ออกเลย แค่อยากมีที่นอน มีข้าวกิน อยากเรียน”
“...” เขาถอนหายใจเบา ๆ “เอาเถอะ คนอย่างมันถ้ารับปากใครแล้วไม่มีผิดคำพูดหรอก”
หลังจากไต้ฝุ่นกลับไปได้ไม่นาน เจ้าของห้องสุดเย็นชาก็หายออกไปจากห้องอีกคน เขาไม่บอกเธอว่าจะไปไหน หรือมันไม่จำเป็นต้องบอกเอเองก็ไม่รู้
มิรินหยิบเอาเสื้อผ้าและของที่อยู่ในกระเป๋าออกมา เธอหากล่องสองใบมาใส่ของตัวเองเอาไว้ให้มันเป็นระเบียบเพราะไม่รู้ว่าต้องเอามันไปเก็บไว้ที่ไหน อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย
เสื้อผ้าที่ใส่ประจำกับชุดนักศึกษาที่เพิ่งถอยมันมาได้ไม่กี่สัปดาห์ เอกสารสำคัญของตัวเองและของแม่ที่เธอหยิบมาแต่ยังไม่ได้เปิดดู ไม่รู้ว่าของใช้ที่เหลือเธอจะมีโอกาสเข้าไปเอามันตอนไหนเพราะตอนที่จะออกจากบ้านมาเจ้าของบ้านก็ไล่เธออย่างหมูอย่างหมาแล้ว
หลายชั่วโมงต่อมา
ใต้หล้าไม่กลับเข้ามาในห้องอีกแล้วหลังจากที่เขาออกไป มิรินหยิบนมในตู้ที่เขาเคยหยิบให้ เธออยากออกไปข้างนอกเพื่อหาอะไรมาทานกับเงินที่ติดกรเป๋าไม่กี่บาท
แต่ก็กลัวว่าถ้าออกไปแล้วเธอจะกลับเข้าห้องไม่ได้อีก เขาไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เธอสักอย่าง แม้กระทั่งช่องทางสำหรับติดต่อ หญิงสาวจึงเลือกรอให้เขากลับมาก่อนค่อยออกไปซื้อข้าวและยาเพราะรู้สึกปวดท้องจนแทบเดินไม่ไหว
มิรินพาตัวเองไปนั่งพักที่โซฟาหลังจากเก็บกวาดห้องให้ใต้หล้าและจัดการกับเสื้อผ้าของเขาที่ยังไม่ได้ซัก เธอพยายามจะไม่เป็นภาระและแบ่งเบาภาระของเขาเพื่อที่จะได้พึ่งพิงเขา
หญิงสาวขยับตัวลงนอน ใบหน้าสวยสดเหยเกเพราะอาการปวดท้องมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ไหนจะอาการครั่นเนื้อครั่นตัว เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวเหมือนกำลังเป็นไข้