ตอนที่ 3 ถอดให้หมด
เขาพาเธอมาห้องของเขา ไม่ว่าจะเป็นตรงไหนทุกอย่างก็ดูเรียนหรูไปหมดทุกอย่างจนมิรินไม่กล้าเดิน เธอยืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง สมองสับสนวุ่นวายกับตัวเอง
เขารวยมาก รวยชนิดที่ว่าเธอคาดไม่ถึง ไม่นึกว่ารุ่นพี่นักศึกษาคนหนึ่งจะมีรถ มีห้องแบบนี้เป็นของตัวเอง
เพราะความตกอับกับมองไม่เห็นอนาคต ทำให้ความคิดชั่ววูบหนึ่งมันบอกกับเธอว่า ถ้าหากจะยอมเขาทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดมันจะดีไหม เธอจะได้มีข้าวกิน มีที่หลับที่นอน หรือบางทีเธออาจจะได้เรียนต่อ เพียงแค่ทำให้เขาพอใจ
มิรินสะบัดหน้าไปกับความคิดของตัวเอง จนใครบางคนมองมา
“ยืนโง่อะไรอยู่ตรงนั้น”
มิรินเดินเข้ามากลางห้อง ที่นี่มีห้องนอนแยกออกไปอีกห้องหนึ่ง มีห้องครัวขนาดพอดีแยกออกไป มีโซฟาตัวใหญ่และเครื่องใช้ครบทุกอย่างราวกับอยู่บ้านหลังหนึ่ง
“หนูหิวข้าว พี่พอจะมีบะหมี่ไหม” เธอยกมือลูบท้องตัวเอง ตั้งใจว่าเย็นนี้เธอจะไม่ทานข้าวเพราะจะเก็บเงินที่เหลืออยู่ไม่กี่ร้อยนี้ไว้ซื้อข้าวเช้ากิน แต่ตอนนี้ท้องมันร้องจนทนแทบไม่ไหว แถมยังอยู่สึกแสบท้องเหลือเกิน
ใต้หล้าหันมองคนที่มาขอพึ่งพาเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว เหมือนตัวเองกำลังถูกกวนประสาท
“ไม่มี” เขาตอบเสียงเรียบ หยิบเอาเครื่องดื่มในแก้วที่เพิ่งเทขึ้นมาดื่ม แล้วส่งข้อความด่าไต้ฝุ่นอย่างนึกโมโหที่มันทิ้งภาระไว้ให้แบบนี้ ก่อนจะเอ่ยออกไปอีกครั้ง “ดูตู้เย็นเอาเอง”
“ค่ะ” มิรินรีบวงกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเองไว้บนพื้นก่อนจะเดินไปในครัวของเขาด้วยความรู้สึกหิวแทบขาดใจเพราะเธอไม่ได้ทานข้าวมาตั้งแต่เที่ยงวัน ตอนนี้ก็ตีหนึ่งเข้าไปแล้ว
เธอมองหาของที่พอจะทานรองท้อง แต่กลับไม่มีอะไรเลย มีแค่เครื่องดื่มมึนเมากับน้ำเปล่า ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องนี้ใช้ชีวิตแบบไหนกันแก่ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นขนมปังชิ้นหนึ่งที่อยู่บนตู้เย็น
เธอหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะเดินไปถามเขาเพราะกลัวว่าเขาจะเก็บไว้ทานเอง
“รินขอกินอันนี้ได้ไหม”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองอย่างนึกรำคาญใจ ถามอยู่นั่น กูอยากจับโยนลงพื้น
“มันหมดอายุจะแดกยังไง”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอพลิกดูเมื่อเขาบอกแบบนั้นก่อนจะรีบแกะมันมาทานเพราะคิดว่าเขาคงต้องทิ้งมันแล้ว
มิรินขยับไปนั่งลงกับพื้นข้างประตูห้องครัว พลันน้ำตาก็หยดแหมะลงบนแก้มสีระเรื่อ ถ้าแม่ของเธอยังอยู่คงโดนบ่นหนักที่เธอทำแบบนี้ แต่ตอนนี้แม่ไม่อยู่แล้วคงไม่มีใครมาบ่น
มันหมดอายุแค่วันเดียวเอง ราคงขึ้นมาไม่เยอะหรอก ดีกว่าหิวตายอยู่ตรงนี้
ใต้หล้าถึงกับขมวดคิ้วจนปวด เขาคาดไม่ถึงว่าจะมีคนโง่กล้ากินของหมดอายุแบบนั้น ร่างสูงหยัดตัวขึ้นยืน ก้าวเท้าเข้ามาดูคนที่นั่งกินขนมปังหมดอายุด้วยน้ำตา
“ทำบ้าอะไรของเธอ”
มิรินเงยหน้าขึ้นมองทั้งน้ำตา เธอรีบใช้หลังมือปาดน้ำตาออกอย่าลวก ๆ ก่อนจะตอบเขาเบาๆ
“คะ”
“ก็บอกว่ามันหมดอายุแดกเข้าไปได้ไง” เขากอดอกพิงกับประตูมองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างนึกสมเพช ถ้านี่เป็นแผนการอะไรสักอย่างก็ถือว่าลงทุนมาก จนดูโง่
“มันหมดอายุเมื่อวาน คงไม่เป็นไร”
เขาคว้าเอาของในมือที่เหลือแค่ครึ่งหนึ่งมาแล้วปาลงถังขยะใกล้ ๆ ก่อนตัวเขาจะเดินผ่านเธอไป เปิดตู้ใบหนึ่งที่อยู่ติดผนังสูงหยิบเอานมกล่องหนึ่งออกมาโยนลงบนตักเธอ
“ขอบคุณค่ะ”
เขาไม่ตอบอะไรเดินออกไปเงียบ ๆ มิรินได้แต่มองตามผู้ชายที่เธอมองว่าใจร้ายเหลือเกินแต่ตอนนี้เขากลับช่วยเธอ หรือที่จริงแล้วเขาไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แค่เขายอมให้เธอมาพักที่นี่ เขาก็คงนึกสงสารกันบ้างหรือไม่ก็คงไม่อยากให้เธอมาตายห้องเขา
มิรินขอใช้ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่งตัว เจ้าของห้องยังคงนั่งดื่มคนเดียวเงียบ ๆ อยู่บนโซฟาตัวเดิม เธอจึงไม่รู้จะพาตัวเองไปอยู่ตรงไหนเพราะคืนนี้เธอคิดว่าจะขอใช้โซฟาของเขาเป็นที่นอน
เธอยืนเช็ดผมของตัวเองจนแห้งอยู่ที่ระเบียงก็เดินเข้ามาในห้อง ใต้หล้าก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม มิรินจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งบนโซฟาข้างเขา
“คืนนี้มิรินขอนอนโซฟาตรงนี้ได้ไหม” อันที่จริงเธอก็ง่วงมากแล้วเพราะตั้งแต่แม่เสียก็แทบไม่ได้พักผ่อนเลย แต่จะบอกเขาไปตรง ๆ ก็รู้สึกเกรงใจ
“อืม” เขาตอบแค่นั้นแล้วก็นั่งดื่มต่อ
มิรินทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งมองเขาดื่มอยู่ตรงนั้น แต่เขาเงียบมาก เงียบจนเธอรู้สึกอึดอัด สุดท้ายเธอก็ต้องเป็นฝ่ายชวนคุย
“พี่อยู่คนเดียวเหรอคะ”
“อืม”
เขาตอบสั้นแค่นั้นก็ทำให้เธอรู้สึกทำตัวไม่ถูก เธอเพิ่งเคยเจอคนประเภทนี้ หรือบางทีเขาอาจจะไม่ชอบที่มีคนอื่นอยู่ในห้องเขา
“มิรินเรียนมหาลัยเดียวกับพี่นะ” เธอเห็นเสื้อช็อปของคณะวิศวกรรมศาสตร์ของเขาอยู่หลังห้องถึงรู้ว่าเขาเรียนที่เดียวกับฝาแฝดเขาอีกคนด้วย “แต่พอแม่เสียก็คิดว่าคงไม่ได้เรียนต่อแล้ว”
“...” เขาเงียบไม่พูดอะไรสักคำ แต่เรื่องเล่าของอีกฝ่ายก็เข้ามาในโสตประสาททุกคำเช่นกัน
“หนูมีพ่อนะ แต่ไม่รู้จะหาเขายังไง พ่อเลิกกับแม่ตั้งแต่มิรินยังเด็กแล้ว ไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง ก็เลยไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิต”
“...” เขาหันหน้ามามองเธอคิ้วหนาขมวดแน่น
ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเจอคนที่ชีวิตย่ำแย่ขนาดนี้และที่สำคัญเขาไม่ใช่คนที่ใครอยากจะเข้าหา เพื่อมาเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเอง เพราะเขาไม่เคยคิดจะสนใจใคร แล้วยายนี่คิดยังไงถึงมาเล่าเรื่องตัวเองให้เขาฟัง
“เธอก็เลยบอกว่าจะยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ตัวเองรอด” เขาถามเสียงเรียบ
“ถ้ามันทำให้หนูมีชีวิตอยู่ต่อได้หนูก็ยอม”
“เธอรู้ไหมว่าพูดอะไรอยู่” เขาถามย้ำ อาจเป็นเพราะเครื่องดื่มมึนเมาที่ดื่มเข้าไปที่มันทำให้เขาเริ่มสนใจข้อเสนอนี้ขึ้นมา
“ค่ะ”
ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ดูโง่และมันอาจจะมีหนทางที่ดีกว่านี้ แต่เวลานี้เธอหวังเพียงแค่อยากให้ตัวเองยืนอยู่บนโลกนี้ได้โดยไม่อยากคาดหวังกับอะไรอีกแล้ว
“...”
“พี่ช่วยหนูได้ไหม หนูอยากเรียนต่อ พี่อยากให้ทำอะไรหนูยอมหมด” เธอพูดไปด้วยเสียงอันสั่นเทา
“เพิ่งเคยเห็นคนโง่แบบเธอ” เขาว่าพลางหัวเราะในลำคออย่างนึกสมเพช ก่อนจะเลื่อนมือหนาไปจับที่ปลายคางของคนตัวเล็ก เชยคางเธอให้เงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมกับยิ้มมุมปาก “พูดสิ ว่าเธอไม่สร้างความเดือดร้อนให้ฉัน”
“พี่ยอมช่วยมิรินใช่ไหม”
“ฉันถือว่าเธอมีข้อแลกเปลี่ยน แต่คงไม่คิดตลอด”
“แค่ช่วงนี้ก็พอ ถ้าหนูมีที่ไปหนูจะไม่รบกวน” เธอรีบบอกเขา
“ก็ดี ฉันก็ไม่อยากมีภาระ”
“...” เธอลอบกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่าแต่กับคนที่หมดสิ้นทุกหนทางแบบเธอแล้ว การเอาตัวรอดไปวัน ๆ มันคงพอแล้ว “ค่ะ”
“หึ”
เขาหัวเราะไปเพราะความโง่งมของใครบางคน มือหนาหยิบเอาเครื่องดื่มที่มีอยู่ครึ่งแก้ว ไม่มีส่วนผสมของเหลวอื่นได้ในนั้นขึ้นมากรอกเข้าปากคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
“แค่ก ๆ รินไม่เคยดื่ม”
เขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอพูด ตอนนี้เขารู้สึกตื่นตัวกับอะไรบางอย่างที่มันลอยหอมหวนอยู่ใกล้ ๆ
“อยากเสียตัวนักไม่ใช่เหรอ ก็บิ้วอารมณ์หน่อย” เขาว่าพลางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะรินเหล้าลงไปในแก้วอีกแล้วยื่นมันไปตรงหน้าเธอ
“มะ ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ได้อยาก แต่รินแค่...”
“ดื่มเข้าไป แล้วก็แก้ผ้าออกให้หมด”
“คะ!” เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ แม้ว่าจะทำใจแล้วแต่ก็ตกใจกับความเป็นเขาอยู่ดี
“รู้ไหมว่าฉันมีศัตรู มีคู่แข่งมากมาย มีคนเกลียด อยากทำลาย พิสูจน์ให้ดูหน่อย ว่าเธอไม่ได้พกอะไรมาทำร้ายฉัน”
“แต่” มิรินหัวใจเต้นระส่ำกับคำพูดของเขา ตั้งแต่สั่งให้เธอถอดเสื้อผ้า
“ไม่ทำก็ออกไปจากห้อง อย่ามาทำให้เสียอารมณ์”