ตอนที่ 25 เที่ยว
+++แทน+++
ในที่สุดไอ้พี่โฬมก็อนุญาตให้ผมมาเที่ยวงานประจำปีของจังหวัดได้ ผมรบเร้ามันแทบทุกวัน เปลืองเนื้อเปลืองตัวชะมัด ทุกวันนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมรู้สึกยังไงกับไอ้พี่โฬม ตั้งแต่ที่มันบอกว่า "รัก"ผม
ผมไม่เคยรู้ตัวเองมาก่อนเลยว่าผมชอบผู้ชายด้วยกัน ทุกวันนี้กับคนอื่น ๆ ผมก็ยังรู้สึกเฉย ๆ แต่กับไอ้พี่โฬม ผมอยู่ใกล้มันทีไร หัวใจผมมันไม่รักดีสักที แถมร่างกายของผมก็ตอบสนองไอ้พี่โฬม ชนิดที่ผมแทบไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย
งานประจำปีที่จัดขึ้นถือว่ายิ่งใหญ่อลังการจริง ๆ ผมคิดว่ามันคล้าย ๆ งานวัดที่ไอ้พี่โฬมพาผมไปครั้งก่อน แต่งานนี้เขาจัดกลางวัน แดดเปรี้ยง ๆ มีพิธีเปิดเป็นทางการ ผมเห็นไอ้พี่โฬมหน้าฝรั่งใส่ชุดผ้าไหมไทยก็รู้สึกแปลกตา เห็นทีแรกเมื่อเช้ายังนั่งขำเกือบตาย ส่วนไอ้พี่ใบชากับไอ้พี่ธีร์ก็หล่อเฟี้ยวน่าดู ส่วนผมก็ยังแต่งตัวสไตล์เดิมคือเสื้อเชิ้ตธรรมดา ที่ราคาหลักหมื่น ไม่ได้ถึงขนาดต้องใส่ชุดผ้าไหมเหมือนสามคนนั่น
ไอ้พี่ใบชามาเปิดบูธภายในงาน เอาอาหารอิตาเลี่ยนกับผลิตภัณฑ์ที่ฟาร์มมาวางขายเป็นบูธใหญ่เลยทีเดียว คนเข้ามาเลือกซื้อของกันแน่นไปหมด ไอ้พี่ธีร์มาจัดบูธเหมือนกัน โปรโมทรีสอร์ทกับบริการรถเช่า แพเช่า
ผมเห็นมีคนสนใจเข้ามาสอบถาม และจองห้องพักกันเยอะแยะเหมือนกัน ส่วนไอ้พี่โฬมเผลอแป๊ปเดียวก็เปลี่ยนชุดเป็นคาวบอยหนุ่มหล่อที่สาว ๆ กรี๊ดกันทั้งงาน
ไอ้พี่โฬมใส่ชุดคาวบอยออกไปควบม้าโชว์ แล้วก็คล้องวัวโชว์กับพวกไอ้ปืน ไอ้โอ๊ต อยู่ในลานกว้าง ๆ มีสาว ๆ มาขอถ่ายรูปเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งสาวเล็ก สาวใหญ่ ผมรำคาญลูกกะตาก็เลยหนีออกมาเดินเล่น พอเห็นสาว ๆ มารุมล้อมมันมาก ๆ เข้า อารมณ์ผมก็กรุ่นขึ้นมาทุกที ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เห็นสาว ๆ กอดแขนกอดเอวมันแล้วอยากเดินไปกระโดดถีบแม่ง
วันนี้ผมไม่มีสายหนังคล้องข้อมือแล้ว ผมสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ ผมเดิน ๆ ดูร้านค้าที่มีของแปลก ๆ มาขายเยอะแยะจนเพลินตา
อากาศช่วงกลางวันนี่มันร้อนจริงๆ ผมเดินเล่นจนเหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด คนอื่น ๆ ก็งานยุ่งจนไม่มีเวลามาเดินเล่นเป็นเพื่อนผม รวมถึงไอ้เต้ยด้วย มันกำลังยุ่ง ๆ อยู่กับการพรีเซนต์การผสมพันธุ์ม้าผมเลยไม่อยากรบกวน
ผมเดินเหงื่อท่วมตัวมานั่งพักดูดน้ำตาลสดที่โต๊ะ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จัดไว้ให้คนมาในงาน ได้นั่งพักใต้ต้นไม้ร่มรื่น บางคนซื้อของมานั่งกินกัน บางคนก็คงมานั่งพักขาเหมือนผม ใกล้ ๆ กันเป็นเต๊นท์บริการประชาชนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ห่างไปไม่ถึงห้าเมตร ผมไม่รู้ว่าผมประหลาดหรือแตกต่างจากคนอื่นตรงไหน แต่จากหางตาของผมไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีคนเหลียวมามองตลอด รวมไปถึงนายตำรวจสองสามคนที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากผมเท่าไหร่นัก
ผมไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ ผมหยิบเอาของเล่นเป็นจักรยานสามล้อสังกะสีคันเล็ก ๆ ซึ่งผมซื้อมาจากร้านค้าในงานขึ้นมาดู แล้วลองไขลานเล่นแก้เบื่อ
วันนี้ไอ้พี่โฬมเอาเงินใส่กระเป๋าตังให้ผมมาหนึ่งพันบาท บอกว่าให้ใช้เท่านี้ แต่ถ้ามีอะไรที่อยากได้จริง ๆ แล้วเงินไม่พอ ให้วิ่งกลับไปขอใหม่ได้ ในขณะที่กระเป๋าเงินของผมอัดแน่นไปด้วยบัตรเครดิตสี่ห้าใบวงเงินไม่มีจำกัด
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เปิดกระเป๋ามาต้องมีเงินสดให้ผมหยิบใช้สอยได้ไม่ต่ำกว่าสองหมื่น ไม่รวมบัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิต แต่ตอนนี้เหรอใช้ ได้ไม่เกินหนึ่งพันบาท เออแต่ก็แปลกนะ เพราะผมกลับใช้มันไม่หมดสักที
“ขอโทษค่ะ ขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยคะ”
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องทักผม ผมเงยหน้าขึ้นมามองดูผู้หญิงวัยรุ่นสองสามคนตรงหน้าด้วยความสงสัย เรารู้จักกันเหรอวะ ทำไมอยู่ ๆ มาขอถ่ายรูปกู
“ผม เหรอครับ” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ หันซ้ายหันขวาดูให้แน่ใจว่าผู้หญิงสามคนนี้ไม่ได้ทักคนผิด
“ค่ะ พวกเรานั่งอยู่ตรงนั้น เห็นพี่น่ารักดีเลยอยากขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยคะ”
ผู้หญิงคนหนึ่งพูดท่าทางอายกระมิดกระเมี้ยน ผมเอียงคอด้วยความสงสัย อย่างนี้ก็ได้เหรอวะ เห็นว่าน่ารักดี กูเป็นผู้ชายนะเว้ย ชมกูสักนิดได้มั้ยว่าเห็นกูหล่อดีเลยอยากได้เป็นผัว นี่อะไรวะพูดกันแต่น่ารัก น่ารัก
“เอ่อ ผม”
ผมทำตัวไม่ถูกจริง ๆ ครับบอกตรง ๆ แต่ก็จะเล่นตัวทำหยิ่งก็คงไม่เหมาะไหน ๆ น้องเขาก็เข้ามาขอดีๆ ก็อะ ถ่าย ๆ ไป ถ่ายรูปสองสามแอคชั่นหูกูคงไม่แหว่งหรอก ผมยิ้มพยักหน้านิดๆ ก่อนจะหันไปหากล้องในมือถือของน้องผู้หญิง มากันสามคนกดถ่ายไปประมาณสามสิบรูปได้ นี่มึงสะสมเป็นคอลเลคชันเลยนะรูปกูน่ะ
“พี่ชื่ออะไรเหรอคะ” น้องผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถามชื่อผม
“พี่....เอ่อ” ผมอ้ำอึ้งไม่รู้จริง ๆ ว่าจะทำตัวยังไง
“คุณแทน” เสียงไอ้เต้ยเดินมาเรียกผมพอดี
น้องผู้หญิงยิ้มเขินอายจนม้วนเมื่อรู้ชื่อผม ผมยิ้มให้แก้เก้อนิดหนึ่งก่อนจะหันไปหาไอ้เต้ยทันที ไม่ได้หันไปสนใจไยดีสามสาวนั่นอีกเพราะคิดว่าเสร็จสิ้นภารกิจไอดอลหน้าตาดีอย่างกูแล้ว
“ไง เสร็จงานกันแล้วเหรอ ถึงมีเวลามาสนใจกูเนี่ย” ผมทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวเดิม
“พอดีไอ้โอ๊ตมันโชว์เสร็จแล้วครับ ผมเลยฝากให้มันดูต่อก็เลยมีเวลาออกมาเดินตามหาคุณแทนครับ แล้วนี่คุณแทนทานอะไรหรือยังครับ หิวหรือเปล่า” ไอ้เต้ยถามผม
“ยังไม่ได้กินอะไรเลย หิวจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย ร้อนด้วยก็เลยมานั่งเล่นตรงนี้” ผมยกแขนขึ้นมาเท้าคางเอียงคอมองดูของเล่นอะไรบางอย่างในร้านใกล้ ๆ จุดที่ผมนั่งอยู่ ผมนั่งมองมันมาสักพักแล้วและแอบสงสัยอยู่ว่ามันคืออะไร
“ถ้าอย่างนั้นคุณแทนอยากทานอะไรครับ เดี๋ยวผมไปซื้อมานั่งกินเป็นเพื่อนตรงนี้ ที่ร้านตรงพวกพี่ชาอยู่คนแน่นมากไม่มีที่นั่งเลย แล้วก็วุ่นวายกันสุด ๆ เลย” ไอ้เต้ยบอกผม
“อืม ไม่รู้ดิมึงแนะนำมาสิว่ากูต้องกินอะไร ตีนไก่มึงอะวันนี้กูไม่เอานะ แดกยากเดี๋ยวเสื้อกูเปื้อน” ผมรีบบอกมันก่อนล่วงหน้า
“ครับ ๆ ถ้าอย่างนั้นคุณแทนรอผมตรงนี้นะครับเดี๋ยวผมรีบกลับมา” ไอ้เต้ยหันมาตะโกนบอกผม ก่อนที่มันจะเดินลิ่วๆ ออกไป
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วตัดสินใจไปยืนพิจารณาดูตู้กระจกขนาดใหญ่ ข้างในมีลูกพลาสติกกลม ๆ ใสๆ หลายสีอยู่ข้างในมีตุ๊กตา มีของเล่นอยู่ข้างใน
“อันนี้คืออะไรครับ” ผมเงยหน้าขึ้นถามป้าแก่ ๆ เจ้าของร้านยืนยิ้มให้ผมอยู่
“หมุนไข่จ้า หยอดเหรียญลงไปแล้วก็หมุนเอาไข่ออกมา ข้างในไข่ก็มีของอยู่ข้างใน”
“อ๋อ” ผมพยักหน้า
ผมยืนเอามือเกาะข้างตู้ ส่องเข้าไปในตู้อยู่นานเพื่อเล็งว่าอยากได้ตัวไหน แล้วจึงหยิบเงินส่งให้คุณป้าเจ้าของร้าน ผมหยอดเหรียญและลงมือไขหมุนปุ่มเกลียว ๆข้างหน้า แล้วรอให้ลูกบอลกลม ๆ นั่นตกลงมาในช่องด้านล่าง ผมเล่นอยู่เกือบยี่สิบครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้สิ่งที่ผมต้องการ จนตอนนี้ไอ้ลูกบอลกลม ๆ ใส ๆ กองเกลื่อนหน้าผมไปหมด
“ทำไมไม่ได้สักทีวะ” ผมยื่นหน้าเกาะตู้กระจกส่งสายตาละห้อย
“อยากได้ตัวไหนเหรอครับ” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นอยู่ข้างหลังผม
“ห้ะ ครับ”
นายตำรวจหนุ่มหน้าตาดีนายหนึ่งยืนอยู่ห่างจากผมเล็กน้อย ถ้าหางตาผมจำไม่ผิด ตำรวจคนนี้นั่งมองผมตั้งแต่ผมเดินมานั่งที่โต๊ะนั่นตั้งแต่แรกแล้ว
“เอ่อ ผมอยากได้ตัวนั้น”
ผมชี้นิ้วไปที่ลูกบอลกลม ๆ ด้านใน นายตำรวจหนุ่มหยิบเหรียญจากกระเป๋ากางเกงออกมาแล้วหยอดใส่เข้าไปในช่องหยอดเหรียญแล้วเริ่มหมุน กลิ๊ก
“เฮ้ย”
ผมร้องอย่างดีใจ ยื่นหน้าไปดูไอ้เจ้าลูกกลม ๆ ที่มีตุ๊กตารูปคนขี่ม้าตัวเล็ก ๆ อยู่ข้างใน นายตำรวจถือในมือยื่นมาตรงผมเหมือนจะอวด
“ผมให้” นายตำรวจหนุ่มคนนั้นยื่นลูกบอลกลม ๆ นั้นส่งให้ผม
"ให้ผมเหรอ" ผมเอียงคอถามนายตำรวจรูปหล่อเพื่อความแน่ใจ
"ครับ ผมให้" นายตำรวจรูปหล่อส่งยิ้มหวานมาให้ผม ผมนับดาวบนบ่าของเขาในใจแล้วไล่เรียงยศทันที ว่าพ่อตำรวจตาหวานนายนี้ติดยศอะไรแล้ว
"แต่ผมอยากเล่นได้เองมากกว่า" ผมหันกลับไปส่องดูในตู้อีกทีว่ามันพอจะมีเหลืออยู่อีกหรือเปล่า
"..." นายตำรวจหนุ่มยิ้มๆแล้วเดินเข้ามาชะโงกหน้าเข้าไปในตู้พร้อมกับผม
"ตรงนั้นครับมีอยู่อีกตัวนึง"
นายตำรวจในเครื่องแบบชี้นิ้วให้ผมดู ผมจึงลงมือหยอดเหรียญเข้าไปใหม่แต่ก็ไม่สำเร็จ ผมเล่นวนซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นอีกสิบกว่าครั้งไอ้ลูกบอลห่านั่นถึงได้กลิ้งลงมาจนได้
"เย้...ได้สักทีนะมึง มึงคิดจะหนีก็เหรอไอ้พี่โฬมไม่มีทาง" ผมอมยิ้มยกลูกบอลใส ๆ นั้นขึ้นมาดูอย่างภูมิใจ
"แล้วไอ้ตัวนี้ละครับ ไม่อยากได้แล้วเหรอ" นายตำรวจหนุ่มชูลูกบอลในมือขึ้นอีกครั้ง
“อืม งั้นแลกกัน”
ผมก้มลงไปเลือก ๆ ลูกบอลที่ผมเล่นได้มาแล้วส่งตัวหนึ่งให้กับนายตำรวจในเครื่องแบบคนนั้น กลัวจะเป็นการเสียมารยาทเพราะเขาอุตส่าห์เล่นให้ได้มา
“ขอบคุณครับ คุณแทน” ผมมองนายตำรวจตรงหน้า อย่างสงสัยทำไมรู้จักชื่อกูด้วยวะ
“อ๋อ ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” ผมยิ้มให้แล้วหอบเอาลูกบอลสามสิบกว่าลูกนั้นใส่ถุงพลาสติก ที่ป้าเจ้าของร้านยื่นให้เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะเพื่อรอไอ้เต้ยตามเดิม
ไม่นานนักไอ้เต้ยก็เดินกลับมาพร้อมกับของกินเต็มมือ ทั้งปลาหมึกย่าง ไข่ปลาหมึก ทอดมัน และอีกหลายอย่าง ผมกับไอ้เต้ยนั่งลงเตรียมพร้อมที่จะกิน
โครม น้ำก๋วยเตี๋ยวและเส้นเล็กน้ำตกจากไหนไม่รู้ครับสาดมาใส่ผมจนเปื้อนไปทั้งตัว ไอ้สัด เสื้อตัวนี้กูราคาเป็นหมื่นนะมึงไอ้เหี้ยตัวไหนวะแม่ง อารมณ์ผมเดือดขึ้นมาทันที
“ไอ้เหี้ยยยยยย” ผมกับไอ้เต้ยร้องอุทานขึ้นมาแทบจะพร้อมกับ
“มึงใช่มั้ยที่มาจีบแฟนกู” เสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้น ผมเงยหน้าหันไปมอง ไอ้สัดสักลายนี่เองที่เป็นเจ้าของก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่
“กูเนี่ยนะ จีบแฟนมึง มึง มึง ไอ้สัดเอ้ย” ผมไม่ฟังเหี้ยอะไรแล้วครับเวลานี้ อารมณ์เรียกว่าพุ่งขึ้นจนตามัวไปหมด
ผมยกตีนถีบลงกลางอกมันทันที ไม่ฟังเสียงร้องห้ามของไอ้เต้ย เสียงกรีดร้องของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาและไทยมุงทั้งหลาย ตามด้วยสวนหมัดเข้าหน้ามันได้ทีนึง แต่ยังไม่ทันจะได้วางมวยอะไรมากมายนายตำรวจหนุ่มรูปหล่อซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ก็เข้ามาจับพวกเราแยกออกจากกันก่อน
“ไอ้สัด”
ผมตะโกนด่ามันอย่างหัวเสีย และเริ่มระงับอารมณ์โกรธตัวเองไม่อยู่ ผมหันไปอาละวาดถีบโต๊ะตัวที่นั่งอยู่เมื่อครู่จนมันล้มคว่ำพังยับไปต่อหน้าต่อตา
“ใจเย็นก่อนนะครับ มีอะไรเดี๋ยวไปเคลียร์กัน พวกนายด้วยเชษ”
นายตำรวจหนุ่มคนนั้นลากตัวไอ้สักลายสามสี่คนไปโดยผมและไอ้เต้ยเดินตามหลังไป ผมหงุดหงิดเหวี่ยงเท้าเตะพุ่มไม้ต้นไม้ใกล้ๆ ตีนจนใบหลุดกระจุยไปหลายต้น ตำรวจหิ้วไอ้สี่คนนั้นขึ้นไปนั่งท้ายกระบะรถตำรวจ ส่วนผมกับไอ้เต้ยยังยืนรออยู่ที่ประตูข้าง ๆ คนขับ ของรถเก๋งตำรวจคันหนึ่งที่จอดอยู่ใกล้ๆกัน
“เปลี่ยนเสื้อสักหน่อยมั้ยครับ”
นายตำรวจหนุ่มชื่อ ธเนศ ผมอ่านเอาจากป้ายชื่อตรงหน้าอกบอกผม พร้อมกับเปิดประตูรถแล้วหยิบเอาเสื้อยืดสีขาวตรงขอบสีเลือดหมูของตำรวจส่งให้ผม
ผมก้มลงมองดูสภาพตัวเองแล้วถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ผมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแล้วถอดมันออกต่อหน้าทุกคนอย่างหัวเสีย หน้าอกของผมแดงเป็นปื้นใหญ่พอสมควรจากฤทธิ์น้ำก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ
ผมเดินไปหยิบขวดน้ำเปล่าขวดหนึ่งจากโต๊ะพักของตำรวจที่มาทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในงานขึ้นมาแล้วราดมันลงบนหน้าอกตัวเองแบบไม่สนโลก เพราะให้ตายเถอะแสบชิบหาย น้ำก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ เลือดน้ำตกแม่งเละเทะเหนียวไปหมด
ขวดเดียวไม่พอผมเดินไปเปิดขวดที่สองยกขึ้นล้างแม่งตรงนั้นแหละกูไม่สนใจเหี้ยอะไรแล้วตอนนี้ อารมณ์กูไม่ดี อย่าได้มีใครมาพูดขัดหูอะไรกูนะตอนนี้ กูจะกระทืบให้ตายเพื่อเป็นการระบายอารมณ์เลยมึง พอล้างเนื้อล้างตัวให้พออยู่ในสภาพที่รับได้ผมจึงหยิบเอาเสื้อยืดลำลองของนายตำรวจคนนั้นมาสวม
“ขอบคุณครับ” ผมตอบแต่ยังหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี ไอ้เต้ยพยายามลูบหลังผมเบา ๆ เป็นเชิงให้ผมอารมณ์เย็น ๆ
“เกิดอะไรขึ้น” ไอ้พี่โฬมตามมาที่สถานีตำรวจหลังจากที่ไอ้เต้ยโทรไปบอกว่าเกิดอะไรขึ้น พ่วงด้วยไอ้ปืน
“เหตุทะเลาะวิวาทธรรมดาน่ะครับ แค่เรื่องเข้าใจผิดธรรมดา” นายตำรวจหนุ่มชี้แจง
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าแทน” ไอ้พี่โฬมเดินตรงหน้าที่ผมพร้อมกับใช้สายตาสำรวจไปทั่ว ผมเห็นคิ้วมันขมวดใส่กัน ไอ้พี่โฬมคงสงสัยว่าทำไมผมถึงใส่เสื้อตำรวจ
“.......” ผมไม่ได้ตอบเพราะเอาจริงๆ ตอนนี้อารมณ์ยังไม่เข้าที่เข้าทาง ผมลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกมาอย่างหัวเสีย
“เดี๋ยวครับคุณ” สารวัตรธเนศ เรียกชื่อผมพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหา
“ครับ” สงสัยมาทวงเสื้อคืน ผมแอบสงสัย
“นี่ของคุณครับ” สารวัตรหนุ่มหล่อตรงหน้ายื่นลูกบอลกลมใสๆ ลูกที่เขาหมุนได้ส่งมาให้ผม เออจริงด้วยผมลืมมันไปสนิทเลย
“ขอบคุณครับ เสื้อของคุณเดี๋ยวผมซักเอามาคืนแล้วกันนะครับ” ผมตอบออกไป
“ไม่เป็นไรครับ” นายตำรวจส่งยิ้มให้ผม ผมจึงยิ้มตอบกลับไป
“ขอบคุณนะครับสารวัตร” ไอ้พี่โฬมเดินเข้ามาโอบไหล่ผม แล้วก็ดันให้ผมรีบเดินออกจากตรงนั้น
“คุณแทนไม่ต้องห่วงนะครับผมไปจัดการไอ้สี่ตัวนั่นมาแล้ว” ไอ้ปืนรีบเดินมาบอกผม
“มึงไปจัดการยังไง” ผมหันไปมองมันตาขวาง
“ไอ้สี่ตัวนั้นเคยเป็นรุ่นน้องซิ่งมอเตอร์ไซต์กับผมมาก่อน มันไม่รู้จักคุณแทนแต่ผมไปตบกบาลมันให้คุณแทนมาแล้วนะครับ รับรองว่าต่อไปไม่มีใครกล้ายุ่งกับคุณแทนแน่นอน” ได้ปืนยิ้มแห้งๆ
“หึ ถ้าตำรวจไม่มาห้ามกูนะมึงกูจะเอาให้เละทั้งงานเลยคอยดู” ผมพูดอย่างหัวเสียแล้วเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งเบาะหลังโดยไม่สนใจคนรอบข้างอีกเลย
“มึงสองคนกลับไปที่งานก่อนไป” เสียงไอ้พี่โฬมพูดกับไอ้เต้ย และไอ้ปืน
ไอ้พี่โฬมขับรถพาผมออกมาจากสถานีตำรวจ ไม่รู้มันกำลังจะพาผมไปไหน เพราะผมเองกำลังหงุดหงิดเลยไม่ได้ใส่ใจ มารู้สึกแปลก ๆ ตาหน่อยก็เพราะว่ามันขับเลยทางแยกที่ป้ายบอกทางที่ชี้ให้ไปฟาร์มม้าของมันนั่นแหละ
“ไปไหนอะ” ผมชะโงกหน้าขึ้นไปถามคนขับที่นั่งหน้าเข้มอยู่เบาะหน้า
“ก็แทนอารมณ์ไม่ดีอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“แล้ว...”
ผมเลิกคิ้วถามมันทันที เออ กูกำลังอารมณ์เสียโคตรๆ แล้วนี่มึงจะพากูไปไหน พาไปปล่อยป่าหรือว่าพาไปฆ่าหมกป่าเพราะรำคาญกูกันแน่วะ
“พาไปเที่ยวจะได้อารมณ์ดีๆ ไง” ไอ้พี่โฬมเอี้ยวหน้ามาหาผม ผมมองซีกหน้าด้านข้างของคนขับรถแวบๆ โครงหน้าลูกครึ่งอเมริกันคมชัดหล่อจนผมหายใจสะดุด
“ใครบอกว่าจะไปด้วย”
ผมยังคงเล่นตัวอยู่ ถึงจะรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่ไอ้พี่ โฬมบอกว่าจะพามาเที่ยว แต่ยิ่งขับมามันก็ลึกขึ้นไปทุกทีมีแต่ต้นไม้กับภูเขา มันจะมีอะไรให้เที่ยววะ
“ไม่ต้องมีใครบอกหรอก พี่แค่อยากทำให้แทนอารมณ์ดีขึ้นมานั่งข้างหน้ากับพี่สิ” ไอ้พี่โฬมใช้มือตบลงบนเบาะข้างคนขับเบาๆ
“ไม่เอาอะเดี๋ยวก็แกล้งแทนอีก”
ผมเสสายตาไปมองข้างทาง เพราะนึกรู้ทันว่าไอ้ฝรั่งจอมวางแผนนี่ต้องคิดไม่ซื่อกับผมแน่ๆ เดี๋ยวนี้ถึงเนื้อถึงตัวเก่งเหลือเกิน เอะอะก็จูบ เอะอะก็กอด
“ไม่แกล้งหรอกทางขึ้นเขาอันตรายพี่ไม่แกล้ง แค่อยากให้มานั่งหน้าจะได้ดูวิวสวย ๆ ได้ชัด ๆ ไง มาสิ” ไอ้พี่โฬมใช้เสียงสองที่โคตรหวานกับผม
“....”
ผมไม่ตอบแต่ก็แทรกตัวไประหว่างเบาะหนังของรถ ผมไม่ได้ตัวหนาเหมือนไอ้พี่โฬมหรือพวกเจ็ดลูกกรอกนั่น จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะปีนแทรกขึ้นไปนั่งอยู่เบาะข้างๆ คนขับได้แบบสบาย ๆ
ภาพของทิวเขาสีเขียว ๆ ทอดตัวยาวซ้อนสลับกันเป็นแนวยาวเบื้องหน้าเป็นภาพที่ผมไม่ค่อยชินตานัก เพราะปกติเห็นแต่ตึกสูง ๆ ในกรุงเทพ
การได้ออกมาอยู่ท่ามกลางอะไรที่เขียว ๆ แบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกคลายอารมณ์คุกรุ่นเมื่อสักครู่ขึ้นมาได้เยอะ ผมกดกระจกไฟฟ้าของรถให้เลื่อนลงจนสุดยื่นหน้าออกไปรับลมเย็นแบบชื้นๆ ที่มันพัดมากระทบใบหน้า แล้วสูดมันเข้าปอดลึก ๆ เหมือนลมเย็น ๆนั้นช่วยปัดเป่าความขุ่นมัวในอารมณ์ผมให้หลุดหายไปได้จนเกือบหมด
“เราจะไปไหนเหรอ” ผมหันไปถามคนขับรถ
ไอ้พี่โฬมขับรถมาจนเย็น นาฬิกาข้อมือผมบอกว่านี่เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ไอ้พี่โฬมจอดรถพาผมเดินลงไปเลือกซื้อเสื้อผ้าและของใช้จำเป็น สบู่ แปรงสีฟัน แชมพูสระผม พร้อมกับน้ำ ขนม นม ของกินอีกสองสามอย่าง ผมยืนมองข้าวของต่างๆ ที่ไอ้พี่โฬมหอบถือในมือด้วยความสงสัย
“เราจะนอนที่นี่เหรอ” ผมหันไปถามคนตัวโตกว่าที่กำลังไปยืนเลือกเต๊นท์นอนหลังใหญ่ตรงหน้า
“ใช่ วันนี้จะพามานอนดูดาวบนนี้ แต่ว่าลำบากนิดนึงนะเพราะเราต้องนอนเต๊นท์” ไอ้พี่โฬมยักคิ้วให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆ
“ห้ะ นอนเต๊นท์เหรอ แทนไม่นอนเต๊นท์นะ แล้วแทนก็กางไม่เป็นด้วย”
ผมหันซ้ายหันขวาเดินไปหยิบเต็นท์สีเขียว ๆ ซึ่งมันอยู่ในถุงอุปกรณ์พลิกไปพลิกมา ปกติทุกวันนี้ตื่นมาแล้วกูเก็บเตียงพับผ้าห่มเองก็มหัศจรรย์มากแล้วนะ นี่ต้องกางเต๊นท์เองกูว่ามึงวนรถพากูกลับไปนอนที่ฟาร์มเถอะ
“พี่ไม่ได้ให้แทนนอนคนเดียวนี่ครับ” ไอ้พี่โฬมหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม
“เราจะนอนด้วยกันเหรอ”
ผมรู้สึกหายใจหายคอไม่สะดวก ก็ถ้านอนด้วยกันมีเหรอไอ้พี่โฬมมันจะไม่ป่วนผมน่ะ แล้วเดี๋ยวนี้ตัวผมเองก็ใจง่ายให้ไอ้พี่โฬมบ่อยเหลือเกิน
นับวันผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเอง แรด...มากขึ้นทุกที เพราะทุกครั้งที่ถูกไอ้พี่โฬมมันจู่โจมผมก็ไม่เคยจะปัดป้องตัวเองได้นาน สุดท้ายก็ยอมมันทุกที จนเริ่มกลัวใจตัวเองว่าสักวันหนึ่งผมคงยอมให้มันมากกว่าที่เป็นอยู่
โอ้ยแค่คิดกูก็เสียวตูดแล้วเนี่ย ไอ้เหี้ยพี่โฬม กูเปลี่ยนใจให้มันพากลับบ้านดีมั้ยวะ อารมณ์เสียวท้องน้อยวูบขึ้นมาจนผมหน้าร้อนผ่าวทันที