ตอนที่ 15 ออกสำรวจ
+++โฬม+++
ผมยอมรับเลยว่าอารมณ์ของผมยังค้างเติ่งอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน ทุกครั้งที่ผมอยู่ใกล้ไอ้น้องแทน เหมือนมีแม่เหล็กอะไรบางอย่างดึงดูดให้ผมอยากเข้าไปหา อยากสัมผัสร่างบาง ๆ นั้น
“เมื่อคืนไม่รู้ไปโดนอะไรมาที่คอมีรอยเต็มเลย พี่โฬมมียามั้ย” คนตัวเล็กเอ่ยถามออกมาเสียงซื่อ ๆ ตื่น...ประโยคคำถามเดียวทำเอาผมตื่นตัวจนเป้ากางเกงตึงไม่หมด
“มี...” ผมขยับเข้าไปอุ้มยกร่างบางนั้นขึ้นมาวางไว้บนตัก รั้งเอวบางให้นั่งทับลงมาบนตักผม เจ้าเด็กนี่จะรู้มั้ยนะ ว่ามันทำให้ผมแทบเป็นบ้าตาย
“พี่โฬม” เสียงเรียกชื่อผมหวานหู ยิ่งเหมือนเอาน้ำมันมาราดลงบนกองไฟปรารถนาของผม
ตอนนี้สมองผมเบลอไปหมดแล้ว ยั่วเก่งชิบหาย ผมประกบจูบริมฝีปากบางนั้นอย่างหิวกระหาย จูบซับเอาความหอมหวานซุกไซ้ไปทั่วอย่างเอาแต่ใจ เสียงครางเบาๆทำเอาผมสติกระเจิง ผมถอนริมฝีปากออกซุกไซ้ใบหน้าไปตามซอกคอหน้าอก มือก็แกะกระดุมเสื้อออกไปพร้อมกัน ร่องรอยที่ผมทิ้งเอาไว้เมื่อคืนเด่นชัด
ผมจูบซ้ำรอยนั้นอย่างพึงพอใจ ตุ่มไตสีชมพูระเรื่อแข็งเป็นไตสู้มือผมอยู่ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งผมจับจองมันอยู่ด้วยริมฝีปากแล้วใช้ลิ้นวนรอบ ๆ มันอย่างล้อเล่น เสียงครางกระเส่าดังต่อเนื่องไม่ขาดสายยิ่งทำให้ผมได้ใจ ผมรู้ว่าตอนนี้ไอ้น้องแทนก็แทบทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ผมจึงอุ้มร่างบางไปวางไว้บนเตียงเราจะได้ทำอะไรถนัดขึ้น
ผมสำรวจเรือนร่างบอบบางขาวสว่างนั้นอย่างละเอียดจูบซับไปทั่วทุกตารางนิ้ว แล้วลากลิ้นสากๆเปียกชื้นของผมลงไปตามทางจนมาถึงขอบกางเกง
ผมจัดการปลดเปลื้องมันออกอย่างไม่รอช้า บอคเซอร์สีน้ำเงินเข้มตุงจนแทบทะลุออกมา เมื่อคืนเราค้างกันไว้ตรงนี้นี่นะ วันนี้คงไม่ค้างอีกใช่มั้ย ผมก้มหน้าซุกลงไปสูดกลิ่นเฉพาะตรงหน้าซึ่งให้ตายเถอะ พอได้กลิ่นของคนตัวเล็กตรงหน้า
ไอ้ลูกรักของผม มันแทบจะพุ่งทะลุออกมานอกกางเกงเลยทีเดียว ผมใช้ปากขบเม้มเจ้าลูกบอลน้อยน่ารักตรงหน้าเล่นจนรู้สึกว่าเจ้าของตัวเล็กใกล้จะถึงจุดสุดยอดแล้ว ผมจึงจัดการรั้งเอาบอคเซอร์ตัวนั้นให้มันลงไปกองอยู่ที่หัวเข่า แล้วจัดการลงลิ้นละเลงเลียตั้งแต่ลูกบอลกลม ๆ จนสุดปลายอีกด้านแล้วใช้ปากครอบหัวมันไว้แล้วขบเม้มดูดจากเบาเป็นหนักสลับกันไป
“อ้า...” คนตัวเล็กกว่าร้องครางเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ บิดตัวไปมาคงเพราะความเสียวที่ผมมอบให้
“น้องแทน”ผมกระซิบเรียกชื่อคนในอ้อมกอดเบาๆ
ตอนนี้ผมก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน จัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าทุกชิ้นร่างกายออกจนหมด ไอ้ลูกรักของผมเด้งแข็งขืนผงาดพองตัวจนแข็ง ผมจับงัดมันขึ้นมาวางทาบกับท่อนเนื้อขนาดกำลังดีสมส่วนเหมาะกับคนตัวเล็กของผม จริงๆขนาดของน้องแทนไม่ได้เล็กหรอก ก็มาตรฐานชายไทยไซส์สี่สิบเก้า แค่ของผมมันใหญ่กว่าเท่านั้นเอง
ผมจับลูกรักของผมแนบคู่กับของน้องแทน และเกาะกุมมันไว้ทั้งสองแท่งรูดขึ้นลงตามจังหวะ น้องแทนก้มหน้าลงมามองดูอย่างงง ๆ ส่งสายตาตื่น ๆ มาที่ผม ผมกลัวว่าถ้าเห็นขนาดแล้วน้องแทนจะกลัวเลยต้องเบี่ยงเบนความสนใจสักหน่อย ผมประกบจูบปากนั้นอีกครั้งหนักหน่วงรุนแรงกว่าเดิม เพราะตอนนี้อารมณ์ของน้องแทนคงใกล้ระเบิดเต็มที่แล้วผมเองก็เช่นกัน
“ซี้ด อ่า” ผมใช้มือเกาะกุมแท่งเนื้อทั้งสองอัน รูดขึ้นรูดลงเป็นจังหวะหนักๆ น้องแทนครางเสียงดังไม่หยุดผมเองก็เหมือนกัน
“อ๊า”
น้องแทนร้องครางไม่หยุดผมรู้ว่ามันเสียวจริงๆ ผมเร่งจังหวะขึ้นไปอีกทั้งเร็วและหนัก น้องแทนแอ่นสะโพกเข้ามาหาผม ปลายเท้าทั้งสองเกร็งไปทุกส่วน ซุกใบหน้าลงกับไหล่ของผม น้องแทนอัดสะโพกเข้ามาหาผม สักพักก็เกร็งกระตุกแล้วพ่นน้ำสีขาวขุ่นข้น ๆ ออกมาในปริมาณมาก มันพุ่งเลอะเทอะทั้งผมและน้องแทนเอง
เหมือนว่าคนตัวเล็กจะหมดแรงแล้ว เพราะน้องแทนนอนแผ่หอบถี่ ๆ แขนขาอ่อนระทวยอยู่ตรงหน้าผม ผมรีบสานต่อของผมจนเสร็จ ไม่นานผมก็เสร็จตามคนตัวเล็กไปด้วย ผมรั้งร่างบางที่ชื้นไปด้วยเหงื่อเข้ามากอดแล้วจูบซับเรือนผมสีดำสนิทนั้นอย่างเอ็นดู ร่างบางอ่อนปวกเปียกดูท่าจะหมดแรงจริงๆ
น้องแทนนอนซบไปบนอกผมนิ่ง สักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหาผม ริมฝีปากบางๆ มีรอยห้อเลือดนิดๆ ผมจ้องตอบดวงตากลมโตนั้นนิ่ง ใบหน้าหวานแดงขึ้นเรื่อยๆ มันแดงลามตั้งแต่ใบหน้า ใบหู ลำคอ ริมฝีปากบางกัดเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง แล้วคนอารมณ์ร้ายก็ยกมือขึ้นตีที่หน้าอกผมสองสามทีก่อนจะวิ่งหนีเข้าห้องน้ำไป
ในใจนั้นชัดเจนแล้วผมอยากกอดเด็กคนนี้จริงๆ ทำไมถึงได้น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้นะเจ้าเด็กร้ายกาจ ผมหยิบกางเกงขึ้นมาใส่พยายามมองไปที่ประตูห้องน้ำแอบคาดหวังว่าคนตัวเล็กจะออกมา
มันจบแค่นี้เหรอ รอบเดียวเองเหรอ นี่ผมยังไม่ได้...ทำอะไรให้มันสมบูรณ์เลย แต่ก็เอาเถอะ แค่นี้ก็ดีมากพอแล้วสำหรับวันนี้ ผมยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผมยังไม่ลืมที่จะเดินไปเคาะประตูห้องน้ำเพื่อบอกคนข้างใน เผื่อว่าจะอายจนไม่กล้าออกมา
“น้องแทน พี่เอาผ้าเช็ดตัวแขวนไว้ให้หน้าห้องน้ำนะครับ เที่ยงแล้วอย่าลืมลงไปทานข้าวด้วยนะครับ” ผมยิ้มให้กับบานประตูก่อนจะเดินออกมา
+++แทน+++
ผมค่อย ๆ แง้มประตูออกมาหยิบเอาผ้าเช็ดตัว ที่ไอ้พี่โฬมมันแขวนเอาไว้ให้ ในใจนั้นสับสน เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นนะทำไมผมถึงเผลอไผลไปได้ขนาดนั้น อารมณ์ชั่ววูบอย่างนั้นหรือ
ตั้งแต่เกิดมาผมเองก็ไม่เคยมีแฟนมาก่อน เพราะความเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจของผมเองนั่นแหละ เลยทำให้ไม่มีคนกล้าเข้าใกล้ แต่ใครจะสนล่ะ ผมไม่สนใจอยู่แล้ว ผู้หญิงไม่เคยจำเป็นสำหรับผม แล้วผมก็ไม่เคยคิดจะเสน่หาผู้ชายด้วยกันเอง อาจจะมีชื่มชมบ้างเวลาเจอใครหล่อ ๆ แต่ไม่เคยถึงขั้นมีอารมณ์ร่วมขนาดนี้
ผมก็ยอมรับหรอกนะว่าไอ้พี่โฬมน่ะโคตรหล่อ หน้าฝรั่ง ดั้งโด่ง แล้วก็...โว้ย ผมสลัดภาพแท่งเนื้อนั้นหลุดจากหัวไม่ได้เลย มันเสียวตรงท้องน้อยทุกทีที่นึกถึง ใจผมมันก็หวิวๆ ชอบกล นี่ผมชอบไอ้พี่โฬมจริง ๆ เหรอวะ
ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำน่าจะนานมาก ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ ยืนเหม่อเพ้อบ้าบอ กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงสายของวันนี้ ไม่รู้ว่าป่านนี้ไอ้พี่โฬมมันจะเป็นยังไงบ้าง
ผมแอบย่องลงมาชั้นล่าง เมื่อนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสามโมงแล้ว เงียบกริบทั้งบ้าน ไม่มีใครอยู่เลย นี่พวกมันไม่กลัวผมหนีแล้วอย่างนั้นหรือไงนะ ผมเดินอ้อมไปหลังบ้านเพื่อดูเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้
อ่าว...เสื้อผ้าหายไปไหนหมดวะ ที่นี่มีขโมยด้วยเหรอวะ โถไอ้โจรกระจอก ของในบ้านเยอะแยะไม่ขโมย เสือกมาขโมยเสื้อกูเนี่ยนะ เออแต่เสื้อผ้ากูแบรนด์เนมทุกตัวนะที่ตาก ๆ ไว้ เมื่อวานนี้รวม ๆ ก็เป็นแสนเลยนะ ไอ้โจรนี่มันก็ตาถึงเหมือนกันนะ
ผมเดินวน ๆ เวียน ๆ อยู่สักพักจึงกลับมาห้องครัว เปิดกล่องมื้อเที่ยงดูก็เห็นว่าเป็นสปาเก็ตตี้ซอสเห็ด น่าเบื่อ...ไม่เห็นอยากกินเลย ผมหันซ้ายหันขวาเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบนมออกมากินหนึ่งขวด
ผมออกมาเดินวนอยู่นอกบ้าน แล้วจึงตัดสินใจเดินออกไปตามทางที่มุ่งตรงไปตามถนน พ้นรั้วไม้ซึ่งแบ่งเป็นเขตตัวบ้านไปเป็นถนนยาวพอสมควร มันไม่มีแยกซ้ายขวา
ผมหันรีหันขวางชั่งใจอยู่หนึ่งนาที แล้วตัดสินใจเดินออกไปข้างหน้า แดดตอนบ่ายแรงอยู่ไม่น้อย ทำไมกูไม่เอาหมวกหรือร่มติดมือมาด้วยวะไอ้ควายเอ๊ย ดำหมดพอดีกู
เดินมาสักระยะ ก็เห็นสองข้างทางเป็นแปลงดอกไม้อะไรไม่รู้ ดอกสีเหลืองสดใส เดินต่อไปอีกหน่อยแปลงดอกไม้ก็สลับเป็นดอกอย่างอื่นซึ่งผมก็ไม่รู้จักอีกเช่นเคย
อย่าถามเรื่องพวกนี้ผมเลย ผมไม่เคยสนใจมันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แปลงดอกไม้แถวนี้สีชมพูบานเย็นเข้ม ๆ สวยดี แสงแดดตอนบ่ายสามแม่งโคตรทารุณเลย มึงสามารถย่างกูสุกได้จริง ๆ นะไอ้พระอาทิตย์
ผมเดินต่อมาอีก มีรั้วไม้สีขาวกั้นเป็นแนวยาวตีล้อมรั้วกว้างขวาง ข้างในเหมือนเป็นคอกสำหรับเลี้ยงสัตว์ เห็นคนอยู่ไกลลิบ ๆ สองสามคนกำลังทำอะไรก้ไม่รู้ ผมเดินเลาะรั้วไม้สีขาวนั้นไปตามทางเรื่อย ๆ แกะครับ ฝูงแกะจำนวนหลายสิบตัวยืนเบียด ๆ กันอยู่ในคอกขนาดใหญ่
ผมวิ่งไปชะโงกหน้า แล้วยืดคอดูพวกมันกำลังเล็มหญ้าอยู่ ข้าง ๆ กันนั้นมีแพะอีกหลายสิบตัว คนงานสองสามคนใกล้ ๆ เงยหน้ามามองดูผมนิดหนึ่ง แล้วหันไปทำงานต่อ ผมจึงเดินต่อไปอีกเรื่อย ๆ ตอนนี้เสื้อเชิ้ตของผมเปียกแฉะไปด้วยเหงื่อ ขวดนมที่ถือมาในมือถูกผมกระดกกินไปหมดแล้ว ตั้งแต่ยังเดินไม่พ้นแปลงดอกไม้สีเหลืองเลย หิวน้ำชะมัดแล้วนี่ต้องเดินไปทางไหนต่อนะ
ผมยกมือขึ้นมากั้นแสงแดดตรงหน้าผากหยีตาลงพยายามเพ่งมองไปไกล ๆ ทางโน้นมันเป็นอะไรนะ พวกไอ้เต้ย บอกว่ามันเป็นครูสอนขี่ม้า ก็ต้องอยู่แถว ๆ คอกม้าสินะ อันนี้คอกแกะ กับแพะ แล้วคอกม้ามันอยู่ตรงไหนหว่า
ผมเดินตรงต่อไปอีกจนเมื่อยขา เหงื่อไหลลงมาตามใบหน้าเป็นทาง ไกลลิบ ๆ นั่น ผมเห็นฝูงสัตว์ตัวใหญ่วิ่งกันให้คึกคัก ตัวอะไรวะ ผมรีบเดินต่อไปอย่างรวดเร็วด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ภาพของชายสามคน กำลังควบม้าไล่ต้อนวัวแดงจนฝุ่นตลบ คนหนึ่งใช้เชือกเหวี่ยงไปคล้องที่คอของวัว ส่วนอีกคนคล้องที่ขาของวัว มองไปมองมาก็คุ้น ๆ แฮะ
“มาทำอะไรตรงนี้ครับ” เสียงทุ้มๆ คุ้นหูดังมาจากเจ้าของร่างใหญ่ที่ควบม้าสีน้ำตาลแดงตรงมาทางผม
“ห้ะ เอ่อมาเดินเล่น”
ผมเงยหน้าขึ้นไปตอบแต่ไม่กล้าสบตา แสงแดดช่วงบ่ายสี่โมงเย็นทำให้ผมหยีตาลง เหงื่อเม็ดโตไหลเข้าตาจนแสบ ผมยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดเหงื่อที่ใบหน้าทันที
“เดินมาไกลขนาดนี้ร้อนแย่ แดงไปทั้งตัวแล้ว”เสียงทุ้มอ่อนโยนจนผมใจสั่น ภาพเมื่อช่วงสายวิ่งฉายซ้ำเข้ามาในหัว ผมถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งแบบไม่ทันรู้ตัว
“เอ่อ..ก็เดินมาเรื่อยๆนี่”
ผมแกล้งหันไปมองดูไอ้ปืน กับไอ้โอ๊ตที่ยังคงขี่ม้าแล้วต้อนวัวให้เข้าไปในคอกอยู่ สองคนนั้นหันมามองดูพร้อมกับโบกมือทักทายผม ผมยกมือโบกทักทายกลับไป ผมบอกตรง ๆ ว่าทำตัวไม่ถูกจริง ๆ
“ข้ามมานี่สิ” ไอ้พี่โฬมยื่นมือส่งมาให้ผมเป็นเชิงสัญลักษณ์ให้ผมปีนรั้วข้ามไป
“ห้ะ”
ผมมองดูฝ่ามือหนานั้น แล้วภาพมือหนาเมื่อช่วงเช้าก็วิ่งเข้ามาในหัวอีก ไอ้เหี้ยแทนมึงนี่คิดเรื่องอื่นไม่เป็นหรือไง สมองมึงนี่นะ คิดเป็นแต่เรื่องลามก แต่ผมก็ปีนข้ามไปอีกฟาก แต่ก็ไม่กล้าจับมือไอ้พี่โฬม ยังทำใจไม่ได้จริง ๆ
“อ้า...” ผมถอยหลังจนชิดรั้วไม้ เมื่อม้าตัวโตมันเอาจมูกมาดันหัวผม คนตัวโตกว่าหัวเราะชอบใจ
“อย่ากลัวมันสิ มันชอบแทนนะ” ไอ้พี่โฬมยื่นมือไปลูบหัวและใบหน้าเจ้าม้าตัวนั้น
“ตัวนี้ของพี่โฬมเหรอ” ผมถามเพราะเห็นไอ้พี่โฬมขี่มันประจำทุกวัน
“ใช่ นี่เจซซี่ มันชื่อเจซซี่”
“สวยดี” ผมตอบยิ้มๆยื่นมือออกไปข้างหน้าอยากลองจับมันดูบ้าง
“แทนต้องเอามือออกมาอย่างนี้ให้มันลองดม ๆ ดูก่อนถ้ามันดม อ้ะ...แบบนี้แสดงว่ามันชอบแทน มันจะยอมให้แทนจับ”
ไอ้พี่โฬมจับมือผมแล้วเอาไปให้ม้าดม นี่ม้าหรือหมาวะต้องดมก่อนด้วย แล้วไอ้พี่โฬมก็จับมือผมไปวางไว้ที่ข้างแก้มของเจซซี่ ผมลูบมันเบา ๆ ก่อนจะหันไปยิ้มอย่างตื่นเต้นให้คนตัวโตที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ลองขี่ดูมั้ย” เสียงนุ่มๆเอ่ยถามผม นัยน์ตาเป็นประกาย
“ไม่เอาอ่ะ ไม่กล้า กลัว” ผมตอบพร้อมกับส่ายหน้า
“อยู่กับพี่ไม่ต้องกลัวเชื่อใจพี่สิครับ” ก็ไม่รู้สินะ แต่ทำไมใจผมเต้นแรงขนาดนี้นะ กูไม่ได้กลัวม้า กูกลัวมึงนั่นแหละไอ้พี่โฬม
“แทนเหยียบตรงนี้แล้วก็โหนตัวขึ้นไปนั่งบนนี้ เดี๋ยวพี่คอยดูให้ไม่น่ากลัวหรอก เจซซี่ไม่เกเรหรอก ใช่มั้ยเจซ..” ไอ้พี่โฬมอธิบายให้ผมฟัง มึงต้องห่วงกูถามกูนี่ ไม่ใช่ถามม้าไอ้ควาย
ผมมองตามที่ไอ้พี่โฬมบอก แต่ในใจก็ยังกลัวอยู่ดี ไอ้พี่โฬมให้ผมทำความรู้จักเจซซี่ ด้วยการสัมผัสให้คุ้นเคยกันอยู่สักพัก แล้วให้ผมลองขี่มัน ผมเดินเข้าไปใกล้ ๆ หันไปหาคนตัวโตแล้วใช้เท้าเหยียบที่วางเท้า ก่อนจะโหนตัวขึ้นไปนั่งบนหลังมันสำเร็จ
ในใจผมตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ผมหันไปส่งยิ้มให้เจ้าของฟาร์มหนุ่มด้วยความดีใจ เสียงไอ้พี่โฬมเอ่ยปากชมเจซซี่ไม่ขาด เดี๋ยวนะทำไมชมม้า ไม่ชมกูวะ มึงต้องชมกูนี่ว่ากูเก่ง ถ้ากูบังคับม้าให้ถีบหน้ามันได้ ไอ้เจ้าเจซซี่มันจะถีบเจ้านายมันมั้ยวะ
ไอ้พี่โฬมสอนให้ผมจับสายบังคับม้า แต่ผมยังทำไม่เก่ง แล้วไอ้พี่โฬมก็จูงทั้งม้าทั้งผมเดินมาจนถึงคอกพักม้า ซึ่งมีม้าอยู่ในคอกจำนวนมาก ไอ้พี่โฬมเอาผมลงมาจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปหาไอ้โอ๊ ตซึ่งกำลังก้มๆ เงย ๆ อยู่กับม้าอ้วน ๆ สีขาวตัวหนึ่ง
“ไม่น่าเกินสองสามวันนี้นะพี่ ใกล้แล้วละ” ไอ้โอ๊ตยืนเท้าเอวจ้องดูม้าตัวสีขาวนั้น
“อืม เดี๋ยวเตรียมตัวละกัน ดูให้ดี” ไอ้พี่โฬมเท้าเอวยืนมองม้าตัวนั้นเหมือนกำลังใช้ความคิด
“อะไรเหรอ ”ผมชะโงกหน้าเข้าไปถาม ด้วยความอยากรู้อยากเห็น คืออยากเสือกนั่นเอง
“ม้าน่ะครับ มันจะคลอดลูกน่ะครับคุณแทน” ไอ้โอ๊ตหันมาบอกผม
“จริงเหรอ อยากเห็น”ผมเกาะแขนของคนข้างๆร้องขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“อยากเห็นเหรอ”เจ้าของฟาร์มมาถามยิ้มๆ
“อืม..ขอมาดูได้มั้ย”ผมเขย่าแขนนั้นแรงๆ
“ถ้าวันไหนมันจะคลอดเดี๋ยวจะพามาดูก็แล้วกันนะ”
“อืม”
ผมพยักหน้ารับ ยิ้มด้วยความดีใจ เดินเข้าไปส่องดูแม่ม้าตัวสีขาวท้องโตตรงหน้าอย่างสนใจ เออ...กูขอโทษที่เมื่อกี้กูว่ามึงอ้วน ตอนนี้กูรู้แล้วว่ามึงท้องนะเจ้าม้า
ผมเดินเข้าไปดูและสำรวจม้าที่อยู่ภายในคอกด้วยความสนใจ ผมไม่เคยเห็นมาก่อนนอกจากในหนังหรือสารคดี คอกม้าของไอ้พี่โฬมใหญ่โตสะอาด มีกลิ่นขี้ม้าบ้างแต่ไม่ได้เหม็นจนทนไม่ได้ ม้าหลายสี หลายขนาด ยืนอยู่ช่องใครช่องมัน
“พี่โฬมมีม้ากี่ตัว”
ผมหันไปถามเจ้าของฟาร์มพลางเอามือยื่นไปให้ม้าตัวข้างหน้าดม ๆ เหมือนที่ไอ้พี่โฬมสอนผมเมื่อครู่ ไอ้พี่โฬมมองดูผมยิ้ม ๆ พยักหน้าเบาๆ เหมือนเป็นการชมว่าทำถูกแล้ว
“ถ้าของพี่มีทั้งหมดแปดสิบเจ็ดตัว” เจ้าของฟาร์มเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“มีที่ไม่ใช่ของพี่ด้วยเหรอ” ผมขมวดคิ้วถาม
“มีสิ มีคนมาฝากเลี้ยงไว้สิบสองตัว” ไอ้พี่โฬมเดินมายืนข้าง ๆ ผม แล้วก้มลงหอมแก้มผมเสียฟอดใหญ่
“อ๊ะ” ผมร้องขึ้น หันซ้ายหันขวาทันที
“ไปหมดแล้ว” ไอ้พี่โฬมพูดยิ้มๆ เหมือนจะรู้ว่าผมคงหมายถึงไอ้โอ๊ตกับไอ้ปืน ที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่ตรงนี้อยู่เลย แล้วนี่สองคนนั้นออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะ
ผมหันไปกวาดสายตามองรอบ ๆ ก็ไม่เห็นสองคนนั้นแล้ว ผมหันกลับมาที่คนตรงหน้าอีกที แต่ก็สว่างจ้าไปหมด ไอ้พี่โฬมรั้งผมเข้าหาตัว ก่อนจะประกบจูบผมอย่างเร้าร้อนเอาแต่ใจ ผมสมองเบลอไปหมดทำอะไรไม่ถูก นานอยู่ชั่วอึดใจกว่าไอ้พี่โฬมจะยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ
“ไอ้พี่โฬม ไอ้พี่บ้า”
ผมยกฝ่ามือขึ้นตีไปกลางแผ่นอกของคนตรงหน้า แล้วรีบเดินหนีออกมาทันที ใครจะไปอยู่วะ ผมเดินสาวเท้ายาวๆ ออกมา เมื่อเดินออกมาจนรู้สึกตัวอีกที ก็รู้สึกว่านี่คงเย็นมากแล้ว แสงแดดที่ทารุณผมเมื่อช่วงบ่าย ตอนนี้มันอ่อนแรงลงมากพอสมควร ผมยกนาฬิกาข้อมือราคาหลักล้านขึ้นมาดูห้าโมงเย็นแล้วตอนนี้ใกล้เวลามื้อค่ำแล้วสินะ
“ขี่ม้ากลับบ้านได้มั้ย” ไอ้พี่โฬมถามผม
“ห้ะ ขี่ม้ากลับบ้านเหรอ แทนขี่ได้เหรอ” ผมเอียงคอถาม
“ถ้าเดินกลับ ไม่ไหวหรอกนะไกล”
ไอ้พี่โฬมพยักหน้าไปทางบ้านไม้หลังใหญ่ ที่ผมเดินออกมาเมื่อช่วงบ่าย เห็นหลังคาอยู่ลิบ ๆ เออก็ไกลจริง ๆ นั่นแหละ สักพักรถยนต์คันหนึ่งก็วิ่งมาจอดเทียบข้าง ๆ ไอ้พี่ธีร์กับ ไอ้เสกและไอ้ไผ่นั่นเอง
“อ้าวน้องแทนมาเดินเล่นไกลจังวันนี้” ไอ้พี่ธีร์ร้องทัก
“มาพอดี ฝากติดรถกลับบ้านไปด้วยละกัน” ไอ้พี่โฬม ฝากให้ผมกลับไปพร้อมไอ้พี่ธีร์ส่วนตัวเองควบม้าตามมาติด ๆ