ตอนที่ 9 เด็กดี

2063 คำ
ตอนที่ 9 เด็กดี +++โฬม+++ เอาจริงๆ ผมทนเห็นภาพนั้นไม่ไหว เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ร้องไห้ไม่หยุดเสียงสะอื้นบ้าบอ ร้องไห้อย่างกับมีใครตาย ก็แค่ตีไปสองทีเอง จะเจ็บอะไรขนาดนั้น ผมก็เสียใจนะไม่ใช่ว่าจะไม่เสียใจ แต่ถ้าไม่ลงโทษบ้าง ไอ้น้องแทนก็จะยิ่งได้ใจ แล้วดูสิโดนผมตีแต่วิ่งไปซุกอกไอ้ธีร์เฉย น่าหงุดหงิดชะมัด ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง ผมออกมารับกรุ๊ปทัวร์ด้านหน้า วันนี้มีลูกค้าพานักท่องเที่ยวมาเกือบยี่สิบคน หลายคนอยากทดลองขี่ม้าดู ผมเลยต้องออกมาดูความเรียบร้อย ไอ้ปืนขี้ม้าแบบโลดโผนโชว์นักท่องเที่ยวอย่างชำนาญ ทำให้หลายคนเข้ามาสอบถามข้อมูลเพื่อขอเรียนขี่ม้า จากนั้นผมขี่ม้านำนักท่องเที่ยวชมฟาร์มดูแปลงดอกไม้ แปลงปลูกผักออแกนิกส์และส่วนต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่จนเกือบเที่ยง “ไอ้เต้ย” ผมเรียกลูกน้องคนสนิทหลังจากมันส่งนักท่องเที่ยวเข้าไปยังร้านอาหาร ในส่วนของไอ้ใบชาเพื่อนผมซึ่งรับช่วงต่อไป “ครับพี่” ไอ้เต้ยควบม้าเหยาะ ๆ มาใกล้ ๆ ผม “เดี๋ยวกูกลับไปที่บ้านนะ ฝากมึงกับไอ้โอ๊ตดูแลทางนี้ด้วย” ผมเอ่ยแล้วก็ควบม้ากลับเข้าไปยังบ้านพัก ที่อยู่ลึกสุดไกลจากส่วนนี้ร่วมสามกิโลเมตร “มันเดินไกลนะครับน้องแทน จากบ้านกว่าจะเดินไปถึงคอกม้าโน้นเกือบกิโลแล้วจากคอกม้ากว่าจะไปสนามอีกเดินไกลโขเลยนะครับ แดดร้อนด้วยนะ” ผมได้ยินเสียงไอ้ธีร์คุยกับไอ้น้องแทนพอดี ผมรู้จักนิสัยมันดี นี่เพื่อนผมมันคงกำลังหาทางหนีเอาตัวรอดอยู่แน่ๆ “จะไม่ยอมพาไปใช่มั้ย” เสียงหวานๆเริ่มแข็งขึ้นทันที “จะไปไหน” ผมเดินเข้าไปในครัว กอดอกถามคนตัวเล็กที่ยืนปั้นหน้าบึ้งใส่ผม ใบหน้าหวานๆ สะบัดพรืดใส่ผมจนน่าตบให้คอเคล็ด “......” ไอ้น้องแทนไม่ตอบ “เออ...มึงมาแล้ว งั้นกูไปก่อนนะ ไม่รู้ว่าที่รีสอร์ทเป็นยังไงบ้าง” ไอ้ธีร์แมร่งชิ่งหนีผมทันทีเลยครับ คนตัวเล็กเบ้ปากใส่ผม แล้วก็ทำท่าว่าจะเดินหนีไปเสียอย่างนั้น แต่จะให้หนีไปไหนล่ะ เพราะผมต้องการจะเข้ามาคุยกับไอ้ตัวยุ่งนี่ให้มันรู้เรื่องกัน “เดี๋ยวแทน” ผมคว้าแขนเรียวบางนั้นไว้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปไกลกว่าที่ผมจะเอื้อมถึง “ไม่เอา ไม่คุย ไม่อยากคุย” เสียงนั้นสั่นเครือนิดๆ ผมรับรู้แหละว่าไอ้น้องแทนยังโกรธผมอยู่ “ไม่อยากคุยจริงอะ” ผมยิ้มหรี่ตา มองคนตรงหน้า คนตัวเล็กเม้มปากนิด ๆ เหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่ “ไม่คุยด้วยหรอก คนใจร้ายนิสัยไม่ดี” น้ำตาเม็ดเบ้อเริ่มร่วงเปาะลงมา ผมนี่ยืนตัวชาเลยครับ ไอ้เด็กนี่มันมีก๊อกเปิดปิดต่อมน้ำตาได้หรือยังไงกันนะ ร้องไห้เก่งชิบหาย เอาวะก็ตั้งใจมาง้อนี่นะ ผมคงไม่มีแก่ใจจะทำอะไรถ้ายังสลัดเรื่องเมื่อเช้าออกจากหัวไม่ได้ “ยังเจ็บอยู่มั้ย” ผมยกมือข้างซ้ายนั้นขึ้นมาดูรอยแดงที่หายไปแล้ว “เจ็บ” เสียงหวาน ๆ ตัดพ้อ ใบหน้าหวาน ๆ งอง้ำจ้องผม “ถ้ารู้ว่าเจ็บ ครั้งหน้าอย่าดื้อกับพี่แบบนี้อีก” ผมยกมือขึ้นมาลูบหัวคนตรงหน้าเบาๆ ดวงตากลมโตนั้นจ้องผมค้างนิ่งก่อนใบหน้าจะแดงขึ้นเรื่อย ๆ “ตีผมทำไม” น้ำตาร่วงลงมาอีกระลอกหนึ่ง เออเอาสินะบ่อน้ำตาตื้นจริงวุ้ย วันเดียวของไอ้น้องแทนร้องไห้น้ำตาร่วงมากกว่าผมที่ร้องไห้มาทั้งชีวิตอีกมั้ง “ก็แทนดื้อนี่ครับ มานี่สิครับ” ผมดึงให้คนตรงหน้ามายืนตรงหน้าผมใช้มือข้างหนึ่งเชยคางนั้นขึ้นมา ผมสบตานิ่งลงไปอย่างมั่นคง เพื่อต้องการจะสื่อสารแบบจริงจังกับคนตรงหน้า ดวงตากลมโตที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตาจ้องตอบผมนิ่ง ม่านน้ำตานั้นทอประกายวิบ ๆ วับๆเล่นกับแสงแดดยามบ่ายที่ส่องลอดเข้ามาภายในห้องครัว “ต่อไปเวลาแทนโกรธ หรือโมโหห้ามทำลายข้าวของอีกนะครับ รู้หรือเปล่าว่าการทำลายข้าวของแบบนั้นมันไม่ดี” ผมสบตานิ่งเหมือนกำลังสอนเด็กเล็ก ๆ อยู่ไม่มีผิด “ก็รู้ แต่แทนโกรธพี่โฬมนี่ แทนแค่อยากโทรหาคุณแม่ แทนเบื่อ แทนไม่อยากอยู่ทีนี่” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงแผ่ว เขื่อนกั้นน้ำตาพังอีกแล้ว “เรามาตกลงกันนะครับ ถ้าแทนทำตัวดีทำตัวน่ารัก ไม่อาละวาดอีก พี่จะอนุญาตให้แทนโทรหาคุณย่า คุณพ่อ คุณแม่เพิ่มขึ้นวันละคน แล้วก็เพิ่มขึ้นวันละนาทีด้วย แต่ถ้าแทนดื้อพี่จะตัดโควต้าออกวันละคน คนละนาทีเหมือนกันตกลงมั้ยครับ” ผมยื่นข้อเสนอ เฮ้อ นี่ผมมาอยู่จุดที่ต้องทำข้อตกลงบ้าบอคอแตกแบบนี้แล้วเหรอเนี่ย “จริงนะ” เสียงใสๆกับดวงตาเป็นประกายระยับนั้นทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ “ครับพี่สัญญาเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยเป็นไง ถ้าตั้งแต่นาทีนี้จนถึงเช้าพรุ่งนี้แทนไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่ทำลายข้าวของแล้วก็พูดเพราะๆ กับพวกพี่พรุ่งนี้เช้าพี่จะให้แทนโทรหาคุณแม่สองนาทีโอเคมั้ย” ผมยักคิ้วให้คนตรงหน้า น้ำตาหยดโตเมื่อครู่ยังไม่ทันแห้ง แต่แววตานั้นดูลิงโลดสดใสขึ้นมาทันที “ก็ได้ แล้วถ้าผมทำดี วันมะรืนนู้นผมจะได้โทรหาคุณพ่อ คุณแม่คนละสามนาทีใช่มั้ย...ครับ” เว้นช่วงไปนานแต่ก็ยังอุตส่าห์ลงท้ายหางเสียงมาให้ “ครับ” ผมยิ้มอย่างโล่งใจ ในที่สุดเราก็คงหาจุดร่วมกันได้แล้วสินะ “ดีล” คนตัวเล็กกระโดดตัวลอย ยิ้มร่าหน้าบานก่อนจะยื่นมือออกมาข้างหน้าจับมือผมเขย่าอย่างอารมณ์ดี เออเอาสิ บทจะร้ายก็ร้ายจนน่ากระทืบ บทจะว่าง่ายก็โคตรปัญญาอ่อนเลย ภาพของเด็กหนุ่มตัวเล็ก เดินตัวปลิวออกมาจากบ้านอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าแจกไปรอบโต๊ะ ทำเอาทุกคนเสียวสันหลังวาบ ผมนั่งมองอยู่เงียบๆ ที่หัวโต๊ะเฝ้าดูปฏิกิริยาของเจ้าตัวแสบและคนอื่น ๆ “พี่ธีร์ทิ้งผม” คนตัวเล็กเอียงคอหันไปพูดกับคนข้างซ้าย เสียงหวานแต่หางเสียงสะบัดน้อย ๆ ดวงตากลมโตจ้องไปยังใบหน้าหล่อเข้มแบบไทยแท้ของเพื่อนผมนิ่ง ไอ้ธีร์ตาค้างทำอะไรไม่ถูก “เอ่อ...ก็พี่รีบไปทำงานนี่” ไอ้ธีร์ทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะสายตาทุกคู่จับมาที่มันคนเดียว เจ้าเด็กตัวแสบยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นมาเท้าค้าง ฝ่ามือบาง ๆ วางรับใบหน้าหวานเอาไว้ หลังจากเอียงคอคุยกับคนข้างซ้ายเสร็จ ใบหน้าหวาน ๆ ก็หันไปฝั่งตรงข้าม โปรยยิ้มใส่ไอ้ใบชาจนมันอ้าปากค้าง เจ้าเด็กร้ายกาจยืดตัวตรง พลางโยกตัวไปมาอย่างอารมณ์ดี เอียงคอโยกหัวมองดูคนอื่นๆช่วยกันจัดสำรับอาหาร สายตาไม่อยู่นิ่ง มองไล่เหมือนจะสำรวจอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะชี้ไปที่จานกับข้าวจานหนึ่ง “อันนั้นอะไร...ครับ” เว้นไปนานแต่ก็ยังมีหางเสียง น้องแทนเอ่ยถาม หันมาทางผมเหมือนต้องการคำตอบ “แกงหอยขม” ผมตอบเสียงเรียบ ๆ แต่คนตรงหน้าทำหน้าสงสัยไม่หาย น้องแทนยืดตัวเอาหน้าเข้าไปส่องดูชามแกงหอยขม แบบที่มันเป็นตัว ๆ อยู่นานก่อนจะหันไปหาไอ้ธีร์อีกคน แล้วก็กวาดสายตาไปทั่วโต๊ะ “หอยขมอะไร มันขมเหรอ” เด็กหนุ่มเอาช้อนตักหอยขมตัวโตขึ้นมาตัวหนึ่ง ก่อนจะตักมันใส่จาน พร้อมกับเอาช้อมส้อมเคาะลงบนเปลือกหอยตัวโตดังป๊อก ๆ แป๊ก ๆ “ไม่ขมหรอกลองกินดูสิ” ผมตอบอมยิ้มให้กับท่าทีของเด็กซนที่พยายามจะสำรวจหอยขม “แล้วจะกินยังไงมันอยู่ในนี้เหรอ” เด็กหนุ่มใช้สองนิ้วคีบหอยตัวนั้นขึ้น มาก่อนจะหรี่ตาส่องเข้าไปข้างในตัวหอยเหมือนพยายามจะหาทางกิน ผมแอบเห็นหลายคนอมยิ้มให้กับความไม่รู้ของเขา เออมันก็มีแหละคนที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยกินน่ะ หลังจากนั้นไอ้เต้ยเป็นคนสอนวิธี “จุ๊บหอย” ให้ไอ้เด็กตัวแสบกิน แรก ๆ บอกเลยว่าผมนี่กลั้นหัวเราะจนเจ็บท้องไปหมด แล้วก็ไม่ใช่แค่ผม ผมเห็นไอ้พวกตัวแสบทั้งหลายนี่นั่งจิกแขนกันจนเนื้อแทบหลุด น้องแทนสำลักน้ำแกงหอย ที่มันค้างอยู่ข้างในจนหน้าดำหน้าแดง แต่ดูเหมือนเจ้าคนตัวเล็กจะมีความอยากเอาชนะในตัวมากอยู่ เพราะเจ้าตัวไม่ลดความพยายามจะกินให้ได้ ผมนั่งมองความพยายามนั้นอย่างเงียบ ๆ ลูกน้องผมไม่มีใครกล้าตักกินแกงหอยเลยครับ มันคงกลัวว่าเดี๋ยวแกงหอยหมดแล้วเดี๋ยวไอ้เจ้าน้องแทนไม่มีจุ๊บเล่นแล้วจะอาละวาด เออจริง ๆ พวกมันนี่ก็ช่างเอาอกเอาใจเจ้าเด็กร้ายกาจคนนี้เหมือนกันนะ กว่าจะกินข้าวหมดจานเรียกได้ว่าเปื้อนตั้งแต่หัวที่มีฝาหอยจุ๊บกระเด็นขึ้นไปติดอยู่บนหัวฝาหนึ่ง หน้าที่เลอะคราบน้ำแกงเป็นคราบ ๆ ทั้งสองแก้ม มือทั้งสองที่เปื้อนเปรอะจนดูไม่ได้ ข้อศอกมีรอยน้ำแกงไหลย้อยเป็นทาง เสื้อเชิ้ตสีโอลด์โรสออน ๆ เป็นรอยด่าง ๆ ดวง ๆ เพราะน้ำแกงหอยกระเด็นใส่เปรอะไปทั้งตัว ผมไม่รู้ตัวเลยว่านั่งอมยิ้มอยู่อย่างนี้นานแค่ไหน รู้แค่พอไม่ดื้อแล้วเจ้าเด็กแสบนี่น่ารักชะมัด “อิ่มแล้วก็ขึ้นห้องไปอาบน้ำเถอะ เลอะไปทั้งตัวแล้ว” ผมเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ตอบ ทำเพียงแค่พยักหน้าหงึก ๆก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ จากนั้นเดินกางแขนทั้งสองออกเหมือนผีจีนแล้วเดินขึ้นบ้านไป คงกลัวว่ามือจะไปโดนเสื้อจนเลอะสินะ ลับหลังร่างบางซึ่งเดินพ้นประตูบ้านไปแล้ว เสียงหัวเราะบนโต๊ะอาหารก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน ไอ้บรรดาเจ็ดลูกกรอกของผมนี่ล้มลงไปฟุบกับโต๊ะเลยทีเดียว พวกมันคงกลั้นขำกันมานาน “ไอ้โฬม...กูลุ้นแทบตาย กลัวหอยจะติดคอน้องมึงตายซะก่อน” ไอ้ใบชาเอ่ยมันหัวเราะจนน้ำตาไหล “นั่นดิ กูล่ะเหนื่อยแทน มันจะแดกอะไรจริงจังขนาดนั้นวะ” ไอ้ธีร์ยกนิ้วขึ้นเช็ดน้ำตาอีกคน “ไอ้เชี่ยขุน แกงหอยของโปรดมึงนี่ไม่ได้แดกสักตัว เป็นไงล่ะ แม่มึงอุตส่าห์ทำมาให้” ไอ้เสกล้อเพื่อน “ใครจะไปกล้าแดก เดี๋ยวคุณแทนไม่พอใจคว่ำหม้อข้าวอีกไอ้สัด” ไอ้ขุนตอบ มันเป็นอีกคนที่นั่งมองน้องแทนกินอย่างตะลึง ๆ เพราะมันคงนึกภาพไม่ออกหรอกว่า จะมีแบบนี้อยู่บนโลก “แต่คุณแทนเป็นแบบนี้น่ารักดีนะครับ ผมว่าดีกว่าตอนอาละวาดเป็นไหน ๆ แบบนั้นผมไม่กล้าสู้หน้า ผมกลัว” ไอ้เต้ยเอ่ยขึ้น มันเอามือกุมท้องไว้เพราะเมื่อกี้หัวเราะจนตัวงอ “ไม่รู้ว่าจะดีแบบนี้ไปได้อีกกี่วัน กี่มื้อสิวะ” ผมถอนหายใจตอบพวกมันไป สายตาจับจ้องไปยังชั้นสองของบ้าน ไฟในห้องเปิดอยู่ ป่านนี้คงกำลังอาบน้ำอยู่สินะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม