ตอนที่ 10 ว่าง่าย
+++แทน+++
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว ผมเองตั้งปณิธานว่าวันนี้จะทำตัวดี ๆ ที่โคตรดีไม่เหวี่ยง ไม่วีน ไม่พูดหยาบคายไม่ทำลายข้าวของด้วย
ผมอยากโทรศัพท์ไปหาคุณแม่ใจแทบขาด โต๊ะอาหารขนาดใหญ่รายล้อมไปด้วยหนุ่ม ๆ สิบคนครบไม่ขาดสักหัวมีแค่เพิ่มหัวที่สิบเอ็ดของผมเข้าไป ผมกวาดสายตามองกับข้าวมื้อเย็นนี้ไปทั่ว
เฮ้อ...ไม่มีความน่ากินเลยสักนิด ผัดผักรวมมิตร ผัดเผ็ดอะไรไม่รู้แต่สีแดงน่ากลัวชะมัด มีน้ำพริกอะไรไม่รู้ไม่สนใจเพราะไม่ชอบ จานเหรออย่าเรียกว่าจานเลย ถาดใส่ผัดสดวางอยู่ตรงกลางสารพัดผัก ซึ่งมีทั้งที่ผมรู้จักสองชนิดถ้วน ๆ คือแตงกว่ากับมะเขือ ส่วนที่เหลืออะไรไม่รู้ไม่เคยสนใจ เพราะยังไงก็ไม่กิน แกงอะไรหน้าตาประหลาดชะมัดเป็นก้อน ๆ กลม ๆ น้ำข้น ๆ ตัวอะไรวะ
“อันนั้นอะไร...ครับ” ผมเอ่ยถามนิ้วมือชี้ไปที่แกงชามหนึ่ง
“แกงหอยขม” คนข้างขวาตอบเสียงเรียบๆ
“หอยขมอะไร มันขมเหรอ”
ผมเอาช้อนตักหอยขมตัวโตขึ้นมาตัวหนึ่งก่อนจะตักมันใส่จาน เสียงมันร่วงลงไปในจานดังเคร้ง ผมเอียงคอมองมันด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะก้มหน้าลงไปมองมันอีกที
“ไม่ขมหรอกลองกินดูสิ” เสียงทุ้มๆ ของคนข้างๆเอ่ยขึ้น
“แล้วจะกินยังไงมันอยู่ในนี่เหรอ”
ผมใช้ช้อนเขี่ย ๆ เคาะ ๆ เสียงมันดังป๊อกๆ เหมือนมันจะแข็งๆ คงเปลือกหอยแหล่ะเหมือนหอยแครง หอยแมลงภู่ไงที่มันมีเปลือกแข็ง ๆ แต่หอยอันนั้นมันแกะเปลือกออกก็กินได้นี่ ผมเอานิ้วคีบมันขึ้นพิจารณาหมุนซ้ายหมุนขวา พยายามหาว่ามันจะแกะออกมายังไง มันมีรูอยู่ตัวมันน่าจะอยู่ในนั้นแหละแต่รูมันเล็กนิจะเอามันออกมายังไงล่ะ
ผมหลับตาข้างนึง พยายามเล็งดูว่าตัวมันอยู่ในนี้ใช่มั้ยแล้วลองเอาเล็บจิกหัวมันออกมา แต่ให้ตายเถอะทำไมมันยากจังหรือว่าเค้ากินกันทั้งเปลือก ตายห่าฟันหักพอดี แข็งขนาดนี้คงไม่มีใครอยากเพิ่มแคลเซียมด้วยเปลือกหอยหรอกใช่มั้ย
“เอ่อ...คุณแทนครับ” เสียงคนชื่อเต้ยดังขึ้นผมเงยหน้าชะโงกหน้าไปหา
“หืม” มือผมยังถือไอ้หอยเจ้าปัญหาอยู่ น้ำแกงจากตัวหอยไหลย้อยลงไปตามข้อศอกผมหยดเป็นทาง
“คุณแทนต้องดูดตรงปากมันแบบนี้นะครับ”
คนชื่อเต้ยสาธิตให้ผมดู ลำบากขนาดนี้ยังจะอุตส่าห์หาทางกินกันอีกเนาะ แต่ก็น่าสนุกดีผมทำตามที่คนชื่อเต้ยแนะนำแรก ๆ สำลักน้ำแกงเกือบตายแต่จริง ๆ มันก็อร่อยแปลก ๆ ดีเหมือนกันนะ
ผมไม่ได้สนใจกับข้าวจานอื่นเลย เผลอแปปเดียวข้างหน้าผมก็มีเปลือกหอยวางกองเกลื่อนโต๊ะเต็มไปหมด มือทั้งสองก็เลอะจนไม่กล้าจะจับอะไร เปื้อนครบสิบนิ้วพอดีเลย ขนาดตอนกินน้ำยังต้องเอาปากคาบแก้วกินน้ำเลย ดีนะที่ไอ้คุณพี่โฬมมันยกแก้วน้ำขึ้นมาป้อนให้ ไม่งั้นสงสัยไม่ได้กินข้าว หอยได้ติดคอตายพอดี
ไม่รู้ว่าวันนี้ทุกคนยังโกรธผมอยู่หรือเปล่า เพราะไม่มีใครคุยกับผมเลย บนโต๊ะอาหารก็เงียบสนิทแทบจะไม่มีคนคุยกันเลย หรือว่าเพราะผมลงมานั่งกินข้าวด้วย ทุกคนอาจจะอึดอัดกลัวผมอาละวาดเหมือนทุกทีสินะ พอหันไปสบตาใครเขาก็หลบหน้าหลบตาผมกันหมด เชอะไม่สนหรอก วันนี้จะทำตัวดีพรุ่งนี้จะได้โทรไปหาคุณแม่
รุ่งเช้าของวันใหม่ที่ผมยังคงตั้งใจว่าจะทำตัวดีๆ ตามข้อตกลงที่ได้ให้กับไอ้คุณพี่โฬมไว้เมื่อวานนี้ คนที่นี่ตื่นเช้ากันจริง ๆ นะ
ตอนอยู่ที่บ้านบางวันกว่าผมจะตื่นก็เที่ยงไปแล้ว เช้าสุดก็คงตอนเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อไปให้ทันเรียนเช้า แต่อยู่นี่มันก็ถูกบังคับให้ต้องนอนเร็วอยู่แล้วนี่ ทีวีก็ไม่มี อินเตอร์เน็ตก็ไม่มี ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง แล้วก็คงหลับไปตั้งแต่ก่อนสี่ทุ่ม
ผมเดินตรงไปนั่งตรงที่ประจำของตัวเอง ในใจคิดว่าวันนี้จะมีข้าวต้มอะไร ผมอยากกินข้าวต้มกุ้งตัวโตๆ รถกระบะแบบสองตอนซึ่งผมจำได้แม่นยำ ว่ามันเป็นรถที่เสกกับไผ่ขับเป็นประจำเอาไว้ส่งอาหารให้บ้านหลังนี้ ไม่รู้ว่าไปขนอาหารมาจากไหนกันแต่มันมาตรงเวลาเป๊ะ ๆ ทุกวันคือเจ็ดโมงเช้า ส่วนตอนเย็นก็มาตอนหกโมงเย็น
“What?”
ผมอุทานพร้อมกับจ้องดูมื้อเช้าตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ผมหันไปมองซ้ายมองขวา มองหน้า มองหัวโต๊ะท้ายโต๊ะหลายรอบจนแน่ใจว่า ไม้ก้อนๆ นี่คืออาหารมื้อเช้าวันนี้แหละ เพราะทุกคนหยิบมันขึ้นไปกินอย่างเอร็ดอร่อย
ไอ้ก้อน ๆ แข็ง ๆ นี่วางอยู่ตรงหน้าผมสามสี่ชิ้น ก้อนขาว ๆ เหลืองๆ แข็งๆ เสียบไม้วางไม้มีหมูปิ้ง ถ้วยน้ำพริกอะไรไม่รู้จักวางอยู่ ผมเอื้อมมือไปหยิบมันมาถือเอาไว้ในมือ ก่อนจะยกมันขึ้นดม ๆ เออ...ก็หอม ๆ ดีผมใช้ลิ้นแตะ ๆ มันทีละนิดมันไม่มีรสอะไรนะเค็ม ๆ นิด ๆ ผมหันไปหาคนนั่งข้าง ๆ ไอ้พี่โฬมยักคิ้วให้ผมทีหนึ่ง ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ ทุกวันตอนเช้าไอ้พี่โฬมกินแค่นั้น ผมจึงต้องเปลี่ยนทิศทางใหม่หัวซ้ายแล้วกัน ไอ้พี่ธีร์หันมาสบตากับผมอมยิ้มให้นิด ๆ ผมยกไอ้ในมือขึ้นพร้อมกับส่งเครื่องหมายคำถามไปให้ทางสายตา
“ข้าวจี่...รู้จักมั้ย” ไอ้พี่ธีร์ถามผมยิ้มๆ ผมส่ายหน้า
“กินได้ครับคุณแทน อร่อยนะลองดู”
คนชื่อเต้ยอีกเหมือนเดิม ที่ชะโงกหน้ามาคุยกับผม ผมมองไปทางท้ายโต๊ะ บางคนเอามันจิ้มไปกับถ้วยน้ำพริกตรงหน้า บางคนก็กินเปล่าๆ บางคนก็กินกับหมูปิ้งที่วางอยู่ใกล้ ๆ กันเหมือนเครื่องเคียง ปลอดภัยสุดสำหรับผมคงเป็นหมูปิ้งสินะ
ผมลองกัดไปคำหนึ่งเล็ก ๆ เออมันก็รสชาติแปลก ๆ ดีกินไปกินมาก็หมดอันแล้ว ผมนั่งหันซ้ายหันขวาอยู่พักหนึ่ง จึงตัดสินใจยื่นมือไปดึงชายแขนเสื้อของคนตัวโตที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สองสามที คิ้วสีน้ำตาลเข้ม ๆ เลิกขึ้นสูง ๆ เหมือนถามว่าจะเอาอะไร
“อยากกินนม ขอกินนมได้มั้ย” ผมถามเสียงอ่อน
“กินข้าวอิ่มแล้วเหรอ”เสียงทุ้มนุ่มๆ เอ่ยถาม ไอ้พี่โฬมวางแก้วกาแฟลง
“พอแล้วไม่ชอบกินอันนี้” ผมชี้นิ้วไปที่ข้าวจี่ตรงหน้า
“เมื่อคืนกินหมดแล้วไม่ใช่เหรอ” เออจริงด้วยผมลืมไปสนิทเลยว่า เมื่อคืนก่อนนอนผมเดินลงมาเปิดตู้เย็นแล้วเดินหยิบนมขวดใหญ่ขึ้นไปกินจนหมด แต่ไอ้พี่โฬมมันรู้ได้ไง คนหรือกล้องวงจรปิดวะรู้ไปซะทุกเรื่อง
“หึ” ผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทันที ปฏิกิริยาตอบสนองตามความเคยชิน ดีดตัวลุกขึ้นอย่างเร็วเพราะถูกขัดใจ
“โว้ยยยยยย...” รอบ ๆ โต๊ะสะดุ้งผวากันเป็นแถว
+++โฬม+++
“โว้ยยยยย...”
เสียงร้องโวย เอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัวเวลาคุณหนูอารมณ์ร้ายคนนี้จะแผลงฤทธิ์ดังขึ้นรอบโต๊ะ สมุนผมสะดุ้งโหยงกันทุกคน ไอ้ขุน ไอ้ไผ่ใช้แขนกวาดจานและอาหารมื้อเช้าหลบออกไปให้พ้นรัศมีมือน้อย ๆ ของคนตัวเล็กที่ตอนนี้ปั้นหน้าบึ้งตึง งอง้ำอย่างคนหัวเสีย ผมจ้องดูกิริยาอาการนั้นนิ่งๆ ในใจแอบคิดว่าระเบิดจะลงที่ใคร
“เหี้ยแล้ว” เสียงไอ้ใบชาร้องออกมาเบาๆ
“โว้ย...” เสียงร้องอย่างหงุดหงิดดังขึ้นอีกรอบ ไอ้น้องแทนตบโต๊ะดังปังลุกขึ้นแล้วลุกพรวดเดินออกไป
ก่อนจะลุกออกเดินวนรอบโต๊ะอาหาร พร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนกำลังพยายามระงับอารมณ์โกรธอยู่ คนอื่นๆได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก หมุนคอมองตามร่างบาง ๆ ที่เดินวนไปสี่รอบแล้วตอนนี้
“ไม่มีนม ไม่มีนม ไม่มีนม ไม่มีนม ท่องไว้ ท่องไว้ ไม่มีนม ไม่มีนม ห้ามโมโห ห้ามโมโห โว้ยยยย....” ไอ้น้องแทนเดินไปท่องไปเหมือนพยายามอย่างหนัก ที่จะไม่โมโหดูไปดูมาก็น่าเอ็นดูดีเหมือนกันนะ
“น้องแทนครับ เดี๋ยวสาย ๆ พี่เอานมที่ร้านมาให้ก็ได้ รอหน่อยแล้วกันนะครับ น้องแทนใจเย็น ๆ นะครับ”
ไอ้ใบชาลุกขึ้นจากโต๊ะ มันดูลังเลนิดๆ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ไอ้น้องแทนเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าดวงตาเป็นประกายยิ้มแก้มแทบแตก ก่อนจะพยักหน้ารัว ๆ เออเอาสิน่ะ สุดท้ายก็มีคนคอยตามใจอยู่ดี
“โทรศัพท์ แทนจะโทรหาแม่สองนาที” เด็กหนุ่มแบมือยื่นมาตรงหน้าผม
“ไอ้ชายืมโทรศัพท์มึงหน่อย” ผมหันไปยักคิ้วให้เพื่อน
“ไอ้เหี้ย..”
ปากมันตอบผมมาแบบนั้น มันไม่ได้ออกเสียงแต่ผมรู้ว่ามันพูดว่าอะไร ไอ้ชาหันไปมองคนตัวเล็กที่เลื่อนมือนั้นไปตรงหน้ามันก่อนจะกระดิกนิ้วเบาๆ
“เอ่อ...คือพี่”
“ไม่ขว้างทิ้งหรอกน่า” ไอ้น้องแทนพูดยิ้ม ๆ ยังคงกระดิกนิ้วอยู่
“แน่นะครับ ห้ามโยนของพี่ทิ้งนะ” ไอ้ใบชาควักเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ยื่นส่งไปให้คนตัวเล็กตรงหน้าสายตาหวาดระแวง
อาการตาลุกวาวด้วยความดีใจอย่างไม่ปกปิด ริมฝีปากบางๆ ฉีกยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกาย นิ้วมือเรียวกดเบอร์โทรศัพท์ลงไปอย่างรวดเร็ว ไอ้ชาทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ตามเดิมสายตามันยังคงจ้องอยู่ที่โทรศัพท์ของตัวเองไม่วางตา น้องแทนเอียงคอมองไอ้ใบชาอย่างขัน ๆ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
ช็อคแป๊ป... ไอ้น้องแทนกดเบอร์โทรศัพท์พร้อมกับหย่อนตัวลงนั่งตักไอ้ใบชาเอาดื้อ ๆ ผมนี่อึ้งไปไปห้าวินาทีเลยไอ้ธีร์หัวเราะหึ ๆ ในลำคอส่วนไอ้เจ็ดลูกกรอกผมอัมพาตแดกกันไปหมดแล้วครับ
“คุณแม่” เสียงหวานสดใสกรอกลงไปยังโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องหรู
“แทนคิดถึงคุณแม่จังครับ......ทำไมคุณแม่ไม่มาหาแทนล่ะ คุณแม่ร่วมมือกับคุณย่าเอาแทนมาทิ้งไว้ที่นี่จริงๆเหรอครับ คุณแม่ไม่รักแทนแล้วเหรอครับ แทนดื้อขนาดที่คุณย่า คุณแม่ไม่ต้องการแทนแล้วจริงๆเหรอครับ” เงียบกริบ
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณแม่ไม่อยากเลี้ยงแทนอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ แทนคิดถึงคุณแม่นะครับ” เงียบกริบ ไอ้น้องแทนกดวางสายก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนให้ใบชา พร้อมกับเอาหน้าแนบลงกับอกเสื้อมันอยู่ครู่ใหญ่ ไอ้ใบชายกมือขึ้นลูบหลังไอ้น้องแทนเบาๆเหมือนพยายาม ๆ จะปลอบโยน ผ่านไปสักห้านาทีเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างเงียบเชียบ
“ทำไมกูรู้สึกสงสารน้องมันจังวะ” ไอ้ใบชาเอ่ยขึ้น
“เฮ้อ...ถ้าเป็นกู กูก็คงเศร้า คงน้อยใจแหละมึง เคยถูกตามใจมาทั้งชีวิต ไอ้เหี้ยผ่านมายี่สิบกว่าปีเพิ่งจะนึกได้ว่าต้องดัดนิสัย จับวางยาแล้วเอามาปล่อยไว้ไกลถึงนี่ เป็นกูกูก็นอยด์นะมึง” ไอ้ธีร์เอ่ยขึ้นบ้าง
“ไม่ใช่แค่น้องมันล่ะที่นอยด์ ตอนนี้กูก็นอยด์ อ่ะๆ กูไปทำงานละเดี๋ยวกูให้คนเอานมมาส่งให้ละกันนะ” ไอ้ใบชาลุกขึ้นแล้วก็ขับรถออกไป
“ก็จริงของไอ้ชาแหละ เมื่อวานตอนกูอยู่กับน้องมัน น้องมันก็ออกจะน่ารักนะมึง เวลามันไม่ดื้ออะ” ไอ้ธีร์หยิบข้าวจี่มันพลิกไปพลิกมาเล่นในมือ
“เดี๋ยวเรื่องนี้กูจัดการเอง พวกมึงไปทำงานเถอะ ไอ้เต้ยวันนี้มึงอยู่เฝ้าที่บ้านนะ กูมีออกไปคุยงานข้างนอก” ผมสั่งงานลูกน้องสองสามอย่างแล้วก็ควบม้าออกมา
+++แทน+++
กับอีแค่ผมอยากกินนมเพิ่มความสูง ทำไมมันต้องยุ่งยากขนาดนี้ด้วยนะ นมขวดเดียวถ้าเป็นตอนอยู่ที่บ้านไม่ว่าจะอยากได้อะไรทุกคนก็จะรีบหามาให้ในทันที อาหารเช้า เที่ยง เย็น อยากได้อยากกินอะไรไม่เคยขาดตกบกพร่อง
“ไม่มีนม ไม่มีนม ไม่มีนม ไม่มีนม ท่องไว้ ท่องไว้ ไม่มีนม ไม่มีนม ห้ามโมโห ห้ามโมโห โว้ยยยย....”
ผมเดินไปท่องไป เพื่อพยายามระงับสติอารมณ์ไม่ให้ปรี๊ดแตก เพราะไม่ว่าจะยังไงวันนี้ผมต้องโทรศัพท์หาคุณแม่ของผมให้ได้
ผมเดินวนรอบโต๊ะเป็นรอบที่เท่าไหร่ผมก็ไม่ได้นับ จนเมื่อไอ้พี่ใบชามันมาอยู่ข้างหน้าแล้วบอกว่าจะเอานมที่ร้านมาให้ผม อย่างน้อยที่นี่ก็มีคนที่พอจะสนใจผมอยู่บ้าง อารมณ์ผมสงบลงนิดหน่อย
“โทรศัพท์ แทนจะโทรหาแม่สองนาที”
ผมแบมือทวงถามสิทธิการโทรศัพท์ของผม จากคนตัวโตที่ให้สัญญากับผมเอาไว้ ไอ้พี่โฬมเอ่ยปากยืมโทรศัพท์ของไอ้พี่ใบชาให้ผม ใช่สิเพราะโทรศัพท์ของเขาผมขว้างทิ้งจนมันพังเละไปแล้ว ส่วนโทรศัพท์ไอ้พี่ธีร์ก็คงยังปั๊มหัวใจไม่ขึ้นมั้ง ผมเห็นสายตาอาลัยอาวรณ์แล้วหมั่นไส้ นี่ผมน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ
“ไม่ขว้างทิ้งหรอกน่า” ผมพูดยิ้มๆ กระดิกนิ้วถี่เหมือนเป็นการเร่งเร้า
คุณแม่ : ฮัลโหล
แทน : คุณแม่
คุณแม่ : น้องแทนลูกเป็นยังไงบ้างลูก
แทน : แทนคิดถึงคุณแม่จังครับ
คุณแม่ : น้องแทน แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษจริงๆ นะครับคนดีของแม่
แทน : ทำไมคุณแม่ไม่มาหาแทนล่ะครับ
คุณแม่ : น้องแทนแม่ขอโทษลูก ถ้าคุณย่าอนุญาตแม่จะรีบไปรับน้องแทนนะครับ
แทน : คุณแม่ร่วมมือกับคุณย่าเอาแทนมาทิ้งไว้ที่นี่จริงๆเหรอครับ คุณแม่ไม่รักแทนแล้วเหรอครับ
คุณแม่ : รักสิลูกแม่รักน้องแทนที่สุดเลยนะครับลูก
แทน : แทนดื้อขนาดที่คุณย่า คุณแม่ไม่ต้องการแทนแล้วจริงๆเหรอครับ
คุณแม่ : ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับน้องแทน คุณแม่รักน้องแทนนะครับ
แทน : ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณแม่ไม่อยากเลี้ยงแทนอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ แทนคิดถึงคุณแม่นะครับ
ผมกดวางสายทิ้งไปทั้ง ๆ ที่เวลายังไม่ครบสองนาที ผมซบหน้าลงกับแผ่นอกของไอ้พี่ใบชานิ่ง ๆ อย่างนั้นสักพักก่อนจะเดินเข้าบ้านมาอย่างเงียบ ๆ