-5- หาทางออก
หลังจากเสร็จการอบรม ปอไหมก็ขอแยกกับปั้นหยาที่มหาลัยฯ เพื่อมาที่บ้านเด็กกำพร้าวารีในช่วงเวลาบ่ายสามโมงกว่า ๆ
"ฮึก...ฮือ...อย่าทำอะไรเด็ก ๆ เลยนะ แม่ขอละ แม่จะรีบหาเงินมาคืนให้"
"คุณก็พูดแบบนี้มาหลายรอบ ผมซื้อโฉนดที่ดินนี้ที่ธนาคารขายทอดตลาดมา ผมซื้อมาด้วยความบริสุทธิ์คุณก็ต้องเห็นใจผมบ้าง ว่าผมเสียเงินซื้อที่ตรงนี้ไปแล้ว"
"ฉันขอร้องนะคะ ขอเวลาพวกเราอีกสักหน่อย" หญิงวัยกลางคนพนมมือไหว้ขอร้อง ผู้ชายสามสี่คนตรงหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ" ปอไหมรีบวิ่งเข้าไปโอบกอดหญิงวัยกลางคนเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง เพราะกลัวโรคความดันของเธอจะกำเริบจนเป็นลมล้มลงไปเสียก่อน
"บ้านเด็กกำพร้าแม่วารีถูกธนาคารขายทอดตลาดไปเมื่อเดือนที่แล้ว ผมกับครอบครัวเป็นคนซื้อต่อมาจากธนาคาร แต่ว่าแม่ว่ารีดันไม่ยอมพาเด็กที่นี่ย้ายออกไปสักที"
"ขายทอดตลาด" ปอไหมทวนคำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนที่เธอมาที่นี่แม่วารีบอกเธอว่ามีคนบริจาคเงินมาจำนวนหนึ่งพอสำหรับการผ่อนชำระที่ดินที่เอาไปจำนองแล้ว " ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะคะ"
"แม่กลัวไหมจะลำบากเลยไม่กล้าบอก อีกอย่างเงินตั้งมากมายไหมจะไปหามาจากที่ไหน"
"พวกคุณซื้อทอดตลาดมาในราคาเท่าไหร่คะ ฉันขอซื้อต่อคุณได้ไหม"
"ผมซื้อจากธนาคารมาสี่ล้านบาท แต่ถ้าคุณจะซื้อต่อผมขายให้เก้าล้านบาท"
"ทำไมมันขึ้นไปเยอะจังเลยล่ะคะ"
"เพราะผมหาคนที่ซื้อที่ดินตรงนี้ได้แล้วในมูลค่าแปดล้านบาท พวกผมพร้อมจะเซ็นสัญญากันแล้ว แต่ถ้าคุณอยากได้คืน พรุ่งนี้ก็มาทำสัญญาซื้อขายกัน"
"ฉันขอเวลามากกว่านั้นได้ไหมคะ"
"ไม่ได้หรอกครับ ผมจะเซ็นสัญญากับคนซื้ออีกคนหนึ่งอยู่แล้ว ผมไม่อยากเสียเวลา อีกอย่างผมไม่รู้คุณจะมีเงินมาซื้อต่อผมจริง ๆ รึเปล่า"
"แต่ว่า..."
"คิดดี ๆ นะครับถ้าคุณพลาดซื้อจากผมไปซื้อต่อจากอีกคน ราคาก็คงจะขึ้นไปเป็นยี่สิบล้านแล้วก็ได้ เพราะที่ตรงนี้ทำเลดี เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะมาใหม่แล้วกัน"
"ฮึก...ไหม...แม่ขอโทษนะ"
"ไม่เป็นไรเลยค่ะ เราต้องมีทางออกสิคะ" มือเรียวเช็ดน้ำตาบนใบหน้าหญิงวัยกลางคนอย่างเบามือ
"ไหมจะไปหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากที่ไหน"
"ไหมพอจะมีเงินเก็บอยู่ค่ะ เดี๋ยวไหมจะลองไปยืมเจ้านายไหมดู ยังไงเดี๋ยวไหมโทรบอก แม่ไม่ต้องเครียดนะคะ" ปอไหมกลับออกไปสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์คันน้อยของตัวเอง เพื่อขี่ตรงไปยังผับที่เธอทำงานอยู่
@ผับเคพี
"พี่เทวาค่ะ บอสอยู่ไหมคะ" ปอไหมวิ่งเข้าไปภายในร้านด้วยท่าทางร้อนรน
"นี่เพิ่งจะหกโมงเองบอสยังไม่มาหรอก มีอะไรรึเปล่าหน้าตาตื่นมาเชียว" เทวาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
"ไม่มีค่ะ" ปอไหมเลือกที่จะไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังเพราะต่อให้เล่าไปเทวาเองก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้
ร่างบางเดินเลี่ยงไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดเครื่องแบบพนักงานของบริกรหญิงที่ห้องพนักงาน
21:30 น.
"พี่เทวาค่ะ บอสมารึยังค่ะ"
"สามทุ่มกว่าแล้วยังไม่มาเลย สงสัยวันนี้คงจะไม่เข้าร้านแล้วล่ะ แล้วตกลงเรามีอะไรรึเปล่าพี่เห็นถามหาบอสหลายรอบแล้ววันนี้"
"คือพี่เทวาพอจะมีเงินสักแปดล้านให้ไหมยืมไหมคะ"
"ไหมจะเอาเงินไปทำอะไรตั้งเยอะขนาดนั้น"
"พอดีบ้านเด็กกำพร้าแม่วารีถูกธนาคารขายทอดตลาด เขากำลังจะมายึดที่ค่ะ" ปอไหมตัดสินใจเล่ารายละเอียดทุกอย่างให้เทวาฟัง เพราะตอนนี้เธอหมดหนทางแล้วจริง ๆ
"พี่ก็อยากช่วยนะ แต่เงินมากมายขนาดนั้นพี่มีไม่ถึงหรอก ลูกพี่ยังเรียนอยู่เมืองนอกด้วย ค่าใช้พี่ก็เยอะ เดี๋ยวพี่ลองโทรหาบอสให้นะ"
"ขอบคุณค่ะ" ปอไหมกล่าวขอบคุณอย่างมีความหวัง
"โทรไม่ติดเลย ขอโทษนะไหมพี่ช่วยอะไรไม่ได้เลย"
"ไม่เป็นไรค่ะ ไหมเข้าใจ"
"วันนี้คุณคีตะก็ไม่น่าจะมา ไม่งั้นพี่จะไปยืมคุณคีตะให้เอง"
ปอไหมนึกเสียดายขึ้นมาทันทีที่เทวาพูดถึงคีตะ เธอน่าจะยอมแลกข้อมูลติดต่อกับเขาไว้ เขาต้องช่วยเธอได้แน่ ๆ
"ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก ๆ นะคะพี่เทวา"
ปอไหมเดินกลับออกไปทำงานต่อ เพราะยังมีเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน ร่างบางจิตใจแทบจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในหัวคิดแต่ว่าจะหาเงินมากมายขนาดนั้นมาให้ทันพรุ่งนี้ได้จากที่ไหน
"ไหม เอาเครื่องดื่มไปให้ห้องสามโซนวีไอพีชั้นสองให้พี่หน่อย" เทวายื่นถาดเครื่องดื่มในมือให้กับปอไหม
"ได้ค่ะ"
ปอไหมเดินถือถาดเครื่องดื่มมาที่ชั้นสองห้องสามโซนวีไอพีตามที่เทวาบอก
ก๊อก~ ก๊อก~
"ขออนุญาตเสิร์ฟเครื่องดื่มค่ะ" ดวงตาสีนิลกระตุกสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อบุคคลที่อยู่ภายในห้องคือบุคคลที่เธอไม่อยากเห็นหน้ามากที่สุด
"ขออนุญาตวางเครื่องดื่มไว้ตรงนี้นะคะ" มือเรียววางถาดเครื่องดื่มลงบนโต๊ะกระจกราวกับไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยกับเขามาก่อน
มือเรียวที่กำลังจะเปิดลูกบิดประตูออกไปหยุดชะงัก เมื่อได้ยินประโยคที่ติณณภพพูดขึ้นมาตามหลัง
"นั่งดื่มกับลูกค้านี่คืองานของเธอด้วยรึเปล่า"
"ค่ะ แต่ฉันขอปฏิเสธที่จะนั่งดื่มเป็นเพื่อนคุณนะคะ" ปอไหมหันกลับไปพูดกับติณณภพด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไหร่นัก
"แน่ใจเหรอ"
"ค่ะ" ปอไหมรับคำด้วยความมั่นใจ
"แต่ฉันให้เธอได้มากกว่าแปดล้าน"
ร่างบางที่กำลังหันกลับไปก็ต้องชะงักลงอีกครั้ง ดวงตาสีนิลจ้องมองไปที่ใบหน้าคมคายราวกับต้องการหาคำตอบบางอย่าง แต่ก็ไม่พบความรู้สึกใด ๆ บนใบหน้านั้นเลย
"ข้อเสนอของฉันมันมากพอที่จะให้เธอยอมนั่งฟังฉันสักหน่อยไหม"
ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันแน่นอย่างใช้ความคิด ว่าควรจะไว้ใจคนอย่างเขาดีรึเปล่า แต่ติณณภพกลับมองว่าเธอกำลังยั่วยวนเขา ภายใต้หน้ากากที่ใสซื่อที่เธอแสร้งแสดงออกมา เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง