ความดีของเธอมันล้างความผิดไม่ได้

1305 คำ
[ทศพล Talk] ในชีวิตนี้ คงไม่มีใครทำให้ผมว้าวุ่นใจและสับสนในความรู้สึกของตัวเองได้เท่ากับนับดาวอีกแล้ว ผู้หญิงหน้าซื่อแต่ใจเสือคนนี้เขาทำให้ผมใจอ่อนลงได้ทุกครั้งที่สบตา แต่ผมต้องพยายามควบคุมสติแล้วดึงอุดมการณ์ของตัวเองกลับมาทุกรอบ เป็นเหตุให้ผมเทียวดีเทียวร้าย อย่าว่าแต่นับดาวเลยที่ได้ประสบพบเจอกับอารมณ์ที่ปรวนแปรของผม เพราะคนรอบข้างของผมก็โดนกันถ้วนหน้า แต่รอบนี้คงจะหนักหน่อย เพราะอารมณ์เหวี่ยงวีนของผมมันมาไม่ถูกจังหวะนัก ส่งผลทำให้นับดาวต้องเจ็บตัวโดยใช่เหตุ ผมกำลังจ้องมองร่างผอมบางของนับดาวที่นอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียง ในหัวก่อเกิดความรู้สึกผิดมหันต์ที่กลั่นแกล้งเธอแบบนี้ โชคดีที่เธอล้มลงไปยังกองลังกระดาษ ส่งผลให้ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก ผมจึงพาตัวเธอกลับมาที่คอนโดที่ห่างออกมาไม่ถึงกิโลเมตร เพื่อให้เธอได้นอนหลับพักผ่อน “ทำไมต้องรู้สึกผิดด้วยวะ” ผมข่มตาถอนหายใจเสียงเบา ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองผิดแบบนี้เลย เพราะเจตนาผมก็เพื่อกลั่นแกล้งให้เธอทรมานกาย ทรมานใจ ให้สาสมกับที่เธอเคยทำกับผมอย่างเจ็บแสบ ทุกอย่างมันออกมาเป็นแบบนี้ ผมควรสะใจเสียด้วยซ้ำ ผมสะบัดหัวเบา ๆ ไล่ความคิดของตัวเอง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นเพื่อจะเดินไปหยิบโทรศัพท์เรียกไอ้บอลขึ้นมาหา ทว่ากลับไม่ระวังจนทำให้ไปชนเข้ากับกระเป๋าของนับดาวจนของด้านในตกลงพื้นกระจัดกระจาย โชคดีที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตื่น เพียงแค่งัวเงียเล็กน้อยแล้วหลับต่อ ท่าจะเพลียมากจริง ๆ ผมค่อย ๆ ก้มลงเก็บของที่หล่นเกลื่อนพื้นใส่เข้าไปในกระเป๋าสีชมพูตามเดิม ก่อนที่มือหนาจะชะงักไปกลางอากาศ เพราะเหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์ของนับดาวที่เปิดอ้าเอาไว้อยู่ เผยให้เห็นภาพคู่ที่ผมไม่ได้เจอมานานหลายปี ยอมรับว่าภาพคู่รูปนี้มีผลต่อใจผมมาก มันชาวาบอย่างบอกไม่ถูก จะบอกว่าดีใจก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเสียใจยิ่งแล้วไปใหญ่ ผมค่อย ๆ หยิบกระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลอ่อนขาด ๆ ขึ้นมาดูใกล้ ๆ ก่อนจะใช้นิ้วลูบไล้ที่ภาพเล็ก ๆ ที่แนบอยู่ในกระเป๋าอย่างเบามือ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอเก็บภาพนี้ไว้ในกระเป๋า หรือเธอไม่เคยเอามันออกเลย... ก๊อก ๆ เสียงเคาะประตูดึงสติผมให้หลุดออกจากภวังค์ เช่นเดียวกับนับดาวที่เริ่มงัวเงียรู้สึกตัว ผมจึงรีบยัดกระเป๋าสตางค์ของเธอเข้าในกระเป๋า จากนั้นก็นำขึ้นไปวางไว้บนโต๊ะตามเดิม “ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ” คนตัวเล็กพยายามดันตัวเองขึ้นนั่งแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เห็นต้นงิ้วไหมล่ะ ถ้ามีก็แปลว่านรก” “เห็นแต่อสูรค่ะ” เธอต่อปากต่อคำเสียงเรียบ “นี่กล้าว่าฉันเป็นอสูรเหรอ?” ผมขึ้นเสียงพลางชักสีหน้าใส่ แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าระรัวปฏิเสธทันที พร้อมกับชี้มือไปยังผนังห้องที่มีรูปปีศาจสีแดงขนาดใหญ่ติดอยู่ “แล้วไป” ก๊อก ๆ เสียงเคาะประตูดังซ้ำอีกรอบ ผมถึงนึกขึ้นได้ว่ามีคนมา ก่อนจะเดินไปเปิดประตู และพบว่าคนมาใหม่คือไอ้บอลที่กำลังจะง้างมือเคาะซ้ำอีกครั้ง “ว่าไง” “คืบหน้าเรื่องไอ้นุทินครับ” ผมปรายตากลับเข้าไปในห้อง และพบว่านับดาวกำลังมองมาที่ผมตาแป๋ว บอกตามตรงว่าผมเชื่อใจเธอไม่ได้จริง ๆ เพราะไอ้คำว่าเชื่อใจนี่แหละ ที่มันทำให้ผมเกือบตายมาแล้ว “ไปคุยด้านนอก” ผมเดินนำไอ้บอลออกจากห้องส่วนตัวแล้วตรงลงมายังห้องประชุมที่อยู่ถัดออกไปอีก 5 ห้อง ในนี้ไม่มีใครอยู่ มีแค่ผมกับมันแค่สองคนเท่านั้น “สายรายงานมาว่ามันเลื่อนวันส่งเด็กออกไปแล้วครับ จากวันศุกร์นี้ เป็นวันพุธหน้า คาดว่าคงหาเด็กไม่ได้” เลื่อนไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้มีเวลาขยายผลจัดการมันด้วย “ส่งข้อมูลให้ไอ้สารวัตรทิศยัง” “ส่งแล้วครับ แต่นายพลใหญ่หนุนหลังพวกมันเอาไว้ สารวัตรเลยทำอะไรยังไม่ได้ คงต้องให้ท่านพญาจัดการตัวพ่อมันก่อน” มันคงเจ็บใจที่รอบก่อนผมเล่นมันจนเสียหลัก เลยอยากเอาคืนบ้าง “งั้นช่วงนี้เราก็จัดการกันไปก่อน” ไอ้บอลพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงรีบพูดเสียงรัว “อ้อ! ลืมเลยครับ คนงานที่ฝั่งอุดรรายงานมาว่าพักนี้เห็นพวกไอ้ทินมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวไซต์ก่อสร้างด้วยครับ ท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย” “มึงคิดว่ามันจะทำอะไร?” “เดาว่าคงทำอะไรสักอย่างให้การก่อสร้างไปต่อไม่ได้ครับ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย เพราะผมก็กำลังคิดแบบนั้นเช่นกัน “ส่งคนไปจับตาดูให้ดี เห็นลูกน้องมันมาอีกเมื่อไหร่ กระทืบให้หนักแล้วลากมันมาหากู กูจะเค้นมันเอง” “ครับเสี่ย” ช่วงนี้ไม่ต่างไปจากมรสุมชีวิตผมเลย มีแต่เรื่องเข้ามาให้เครียดไม่เว้นวัน ถ้าเมื่อไหร่ที่อำนาจฝั่งไอ้นุทินดับลง ผมคงต้องหนีไปพักที่ไหนสักแห่ง หลังจากคุยธุระกับไอ้บอลเสร็จ ผมก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แต่ทันทีที่เปิดประตูห้อง ผมก็ต้องชะงักกึก เพราะเห็นว่านับดาวกำลังนั่งอยู่กับพื้น ในมือมีรองเท้าของผมที่กำลังถูกขัดจนมันวาว “ทำอะไร?” ผมขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ “เอ่อ... ดาวเห็นว่ารองเท้าคู่นี้มันมีแต่ฝุ่นปูนเกาะน่ะค่ะ เลยเอามาเช็ดให้” เธอตอบเสียงอ้อมแอ้ม น่าจะกลัวผมด่า แต่ไม่ต้องกลัวหรอก ผมด่าแน่ “ใครสั่ง” “ดาวทำเองค่ะ” เธอลอบกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ พลางแหงนหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาสั่นระริก คงกลัวว่าผมจะตะคอกใส่ให้คอหด “คิดว่าทำดีแล้วมันจะชดเชยสิ่งที่เธอเคยทำลงไปได้เหรอ?” “...” “ต่อให้เธอทำดีให้ตาย ฉันก็ไม่มีวันให้อภัยเธอหรอก” ผมมองเธออย่างเหยียดหยาม แล้วเตรียมจะเดินออกไปจากห้องอีกครั้ง แต่ก็ต้องหยุดเดินไปดื้อ ๆ เพราะได้ยินประโยคที่เธอเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ เพราะกลัวจะไม่ทัน “แล้วดาวต้องทำยังไงเหรอคะ เสี่ยถึงจะให้อภัยดาว” ผมหันกลับไปจ้องที่เธออีกครั้ง แววตาที่รออย่างมีความหวังถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจน “ลองตายดู เผื่อฉันจะให้อภัยเธอได้” คนได้ยินนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าแล้วตอบกลับมาเสียงอ่อย “เข้าใจแล้วค่ะ” ใบหน้าเรียวสวยไร้น้ำตาอย่างที่ผมคาดเดา เพียงแค่หม่นหมองและเลื่อนลอยราวกับสาหัสกับสิ่งที่ได้ยินจนร้องไห้ไม่ออก ผมรู้ตัวว่าถ้าอยู่ต่อจะเผลอใจอ่อนกับเธออีก จึงรีบออกมาจากห้องเพื่อเรียกสติให้ตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ไว้ใจไม่ได้หรอกไอ้ทศ เขาเคยหลอกมึงอย่างแยบยลแล้วหนึ่งครั้ง แล้วเขาอาจจะกำลังทำมันอีกเป็นครั้งที่สอง...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม