[ทศพล Talk]
ในชีวิตนี้ คงไม่มีใครทำให้ผมว้าวุ่นใจและสับสนในความรู้สึกของตัวเองได้เท่ากับนับดาวอีกแล้ว ผู้หญิงหน้าซื่อแต่ใจเสือคนนี้เขาทำให้ผมใจอ่อนลงได้ทุกครั้งที่สบตา แต่ผมต้องพยายามควบคุมสติแล้วดึงอุดมการณ์ของตัวเองกลับมาทุกรอบ เป็นเหตุให้ผมเทียวดีเทียวร้าย อย่าว่าแต่นับดาวเลยที่ได้ประสบพบเจอกับอารมณ์ที่ปรวนแปรของผม เพราะคนรอบข้างของผมก็โดนกันถ้วนหน้า แต่รอบนี้คงจะหนักหน่อย เพราะอารมณ์เหวี่ยงวีนของผมมันมาไม่ถูกจังหวะนัก ส่งผลทำให้นับดาวต้องเจ็บตัวโดยใช่เหตุ
ผมกำลังจ้องมองร่างผอมบางของนับดาวที่นอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียง ในหัวก่อเกิดความรู้สึกผิดมหันต์ที่กลั่นแกล้งเธอแบบนี้ โชคดีที่เธอล้มลงไปยังกองลังกระดาษ ส่งผลให้ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก ผมจึงพาตัวเธอกลับมาที่คอนโดที่ห่างออกมาไม่ถึงกิโลเมตร เพื่อให้เธอได้นอนหลับพักผ่อน
“ทำไมต้องรู้สึกผิดด้วยวะ”
ผมข่มตาถอนหายใจเสียงเบา ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองผิดแบบนี้เลย เพราะเจตนาผมก็เพื่อกลั่นแกล้งให้เธอทรมานกาย ทรมานใจ ให้สาสมกับที่เธอเคยทำกับผมอย่างเจ็บแสบ ทุกอย่างมันออกมาเป็นแบบนี้ ผมควรสะใจเสียด้วยซ้ำ
ผมสะบัดหัวเบา ๆ ไล่ความคิดของตัวเอง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นเพื่อจะเดินไปหยิบโทรศัพท์เรียกไอ้บอลขึ้นมาหา ทว่ากลับไม่ระวังจนทำให้ไปชนเข้ากับกระเป๋าของนับดาวจนของด้านในตกลงพื้นกระจัดกระจาย โชคดีที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตื่น เพียงแค่งัวเงียเล็กน้อยแล้วหลับต่อ ท่าจะเพลียมากจริง ๆ
ผมค่อย ๆ ก้มลงเก็บของที่หล่นเกลื่อนพื้นใส่เข้าไปในกระเป๋าสีชมพูตามเดิม ก่อนที่มือหนาจะชะงักไปกลางอากาศ เพราะเหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์ของนับดาวที่เปิดอ้าเอาไว้อยู่ เผยให้เห็นภาพคู่ที่ผมไม่ได้เจอมานานหลายปี
ยอมรับว่าภาพคู่รูปนี้มีผลต่อใจผมมาก มันชาวาบอย่างบอกไม่ถูก จะบอกว่าดีใจก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเสียใจยิ่งแล้วไปใหญ่
ผมค่อย ๆ หยิบกระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลอ่อนขาด ๆ ขึ้นมาดูใกล้ ๆ ก่อนจะใช้นิ้วลูบไล้ที่ภาพเล็ก ๆ ที่แนบอยู่ในกระเป๋าอย่างเบามือ
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอเก็บภาพนี้ไว้ในกระเป๋า หรือเธอไม่เคยเอามันออกเลย...
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูดึงสติผมให้หลุดออกจากภวังค์ เช่นเดียวกับนับดาวที่เริ่มงัวเงียรู้สึกตัว ผมจึงรีบยัดกระเป๋าสตางค์ของเธอเข้าในกระเป๋า จากนั้นก็นำขึ้นไปวางไว้บนโต๊ะตามเดิม
“ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ”
คนตัวเล็กพยายามดันตัวเองขึ้นนั่งแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“เห็นต้นงิ้วไหมล่ะ ถ้ามีก็แปลว่านรก”
“เห็นแต่อสูรค่ะ”
เธอต่อปากต่อคำเสียงเรียบ
“นี่กล้าว่าฉันเป็นอสูรเหรอ?”
ผมขึ้นเสียงพลางชักสีหน้าใส่ แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าระรัวปฏิเสธทันที พร้อมกับชี้มือไปยังผนังห้องที่มีรูปปีศาจสีแดงขนาดใหญ่ติดอยู่
“แล้วไป”
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูดังซ้ำอีกรอบ ผมถึงนึกขึ้นได้ว่ามีคนมา ก่อนจะเดินไปเปิดประตู และพบว่าคนมาใหม่คือไอ้บอลที่กำลังจะง้างมือเคาะซ้ำอีกครั้ง
“ว่าไง”
“คืบหน้าเรื่องไอ้นุทินครับ”
ผมปรายตากลับเข้าไปในห้อง และพบว่านับดาวกำลังมองมาที่ผมตาแป๋ว บอกตามตรงว่าผมเชื่อใจเธอไม่ได้จริง ๆ เพราะไอ้คำว่าเชื่อใจนี่แหละ ที่มันทำให้ผมเกือบตายมาแล้ว
“ไปคุยด้านนอก”
ผมเดินนำไอ้บอลออกจากห้องส่วนตัวแล้วตรงลงมายังห้องประชุมที่อยู่ถัดออกไปอีก 5 ห้อง ในนี้ไม่มีใครอยู่ มีแค่ผมกับมันแค่สองคนเท่านั้น
“สายรายงานมาว่ามันเลื่อนวันส่งเด็กออกไปแล้วครับ จากวันศุกร์นี้ เป็นวันพุธหน้า คาดว่าคงหาเด็กไม่ได้”
เลื่อนไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้มีเวลาขยายผลจัดการมันด้วย
“ส่งข้อมูลให้ไอ้สารวัตรทิศยัง”
“ส่งแล้วครับ แต่นายพลใหญ่หนุนหลังพวกมันเอาไว้ สารวัตรเลยทำอะไรยังไม่ได้ คงต้องให้ท่านพญาจัดการตัวพ่อมันก่อน”
มันคงเจ็บใจที่รอบก่อนผมเล่นมันจนเสียหลัก เลยอยากเอาคืนบ้าง
“งั้นช่วงนี้เราก็จัดการกันไปก่อน”
ไอ้บอลพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงรีบพูดเสียงรัว
“อ้อ! ลืมเลยครับ คนงานที่ฝั่งอุดรรายงานมาว่าพักนี้เห็นพวกไอ้ทินมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวไซต์ก่อสร้างด้วยครับ ท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย”
“มึงคิดว่ามันจะทำอะไร?”
“เดาว่าคงทำอะไรสักอย่างให้การก่อสร้างไปต่อไม่ได้ครับ”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย เพราะผมก็กำลังคิดแบบนั้นเช่นกัน
“ส่งคนไปจับตาดูให้ดี เห็นลูกน้องมันมาอีกเมื่อไหร่ กระทืบให้หนักแล้วลากมันมาหากู กูจะเค้นมันเอง”
“ครับเสี่ย”
ช่วงนี้ไม่ต่างไปจากมรสุมชีวิตผมเลย มีแต่เรื่องเข้ามาให้เครียดไม่เว้นวัน ถ้าเมื่อไหร่ที่อำนาจฝั่งไอ้นุทินดับลง ผมคงต้องหนีไปพักที่ไหนสักแห่ง
หลังจากคุยธุระกับไอ้บอลเสร็จ ผมก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แต่ทันทีที่เปิดประตูห้อง ผมก็ต้องชะงักกึก เพราะเห็นว่านับดาวกำลังนั่งอยู่กับพื้น ในมือมีรองเท้าของผมที่กำลังถูกขัดจนมันวาว
“ทำอะไร?”
ผมขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ
“เอ่อ... ดาวเห็นว่ารองเท้าคู่นี้มันมีแต่ฝุ่นปูนเกาะน่ะค่ะ เลยเอามาเช็ดให้”
เธอตอบเสียงอ้อมแอ้ม น่าจะกลัวผมด่า แต่ไม่ต้องกลัวหรอก ผมด่าแน่
“ใครสั่ง”
“ดาวทำเองค่ะ”
เธอลอบกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ พลางแหงนหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาสั่นระริก คงกลัวว่าผมจะตะคอกใส่ให้คอหด
“คิดว่าทำดีแล้วมันจะชดเชยสิ่งที่เธอเคยทำลงไปได้เหรอ?”
“...”
“ต่อให้เธอทำดีให้ตาย ฉันก็ไม่มีวันให้อภัยเธอหรอก”
ผมมองเธออย่างเหยียดหยาม แล้วเตรียมจะเดินออกไปจากห้องอีกครั้ง แต่ก็ต้องหยุดเดินไปดื้อ ๆ เพราะได้ยินประโยคที่เธอเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ เพราะกลัวจะไม่ทัน
“แล้วดาวต้องทำยังไงเหรอคะ เสี่ยถึงจะให้อภัยดาว”
ผมหันกลับไปจ้องที่เธออีกครั้ง แววตาที่รออย่างมีความหวังถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจน
“ลองตายดู เผื่อฉันจะให้อภัยเธอได้”
คนได้ยินนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าแล้วตอบกลับมาเสียงอ่อย
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ใบหน้าเรียวสวยไร้น้ำตาอย่างที่ผมคาดเดา เพียงแค่หม่นหมองและเลื่อนลอยราวกับสาหัสกับสิ่งที่ได้ยินจนร้องไห้ไม่ออก ผมรู้ตัวว่าถ้าอยู่ต่อจะเผลอใจอ่อนกับเธออีก จึงรีบออกมาจากห้องเพื่อเรียกสติให้ตัวเอง
ผู้หญิงคนนี้ไว้ใจไม่ได้หรอกไอ้ทศ เขาเคยหลอกมึงอย่างแยบยลแล้วหนึ่งครั้ง แล้วเขาอาจจะกำลังทำมันอีกเป็นครั้งที่สอง...