แค่คนใช้ประจำตัว

1360 คำ
ฉันจำได้ว่าวันนี้เสี่ยทศจะพาฉันติดสอยห้อยตามไปดูงานก่อสร้างของเขาที่ต่างจังหวัด แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพาออกมาแต่เช้าขนาดนี้ ตีห้าตรงประตูห้องของฉันถูกเคาะเสียงดัง พร้อมกับเสียงเรียกของป้าบานที่ปลุกให้ฉันลุกขึ้นแต่งตัว ส่งผลให้ฉันต้องมานั่งหาวหวอด ๆ อยู่บนรถในตำแหน่งข้างเสี่ยทศพล “ไม่ได้หลับได้นอนหรือไง” คนข้างกันเอ่ยถามพร้อมกับปรายตามองฉันเล็กน้อย ในขณะที่เขากำลังนั่งไขว่ห้าง และเลื่อนไถหน้าจอไอแพดเพื่อดูงาน “ค่ะ นอนดึก” “ทั้งที่ฉันบอกแล้วแท้ ๆ แทนที่จะเตรียมตัว” เขาต่อว่าเสียงขุ่น แต่ก็จริงอย่างที่เขาพูดนั่นแหละ เพราะฉันไม่เตรียมตัวจริง ๆ ก็เมื่อคืนนี้มันอดนั่งถักไหมพรมไม่ได้ ถักไปถักมามันก็สนุก รู้ตัวอีกทีก็ปาไปตีสามเสียแล้ว ระหว่างทางนั่งรถ ฉันเอาแต่พิงหน้าไปกับกระจกด้านข้าง มีบางจังหวะที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงจนต้องสะดุ้งตื่น แต่ก็ผล็อยหลับลงไปโดยง่ายเพราะความเพลีย ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว เพราะจู่ ๆ ฉันก็ไม่สะดุ้งตื่นอีกราวกับได้ที่เหมาะ ๆ สำหรับนอน จนกระทั่งมาถึงที่หมาย “ตื่นได้แล้ว” เสียงห้วน ๆ ที่ดังอยู่ใกล้ทำให้ฉันค่อย ๆ หรี่ตาขึ้นมาสู้แสง พร้อมกับกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อเรียกสติอันพร่าเบลอ เนื่องจากมุมภาพที่อยู่ตรงหน้ามันไม่ค่อยชินตานัก หรือว่า... พึ่บ! ฉันลุกพรวดขึ้นจากตักของเสี่ยทศพลอย่างรวดเร็ว พร้อมกับผงกหัวขอโทษขอโพยเขาเสียยกใหญ่ “ขะ ขอโทษนะคะ ดาวไม่ได้ตั้งใจ” อีกฝ่ายไม่ได้แสดงออกถึงความโกรธ เขาเพียงใช้มือปัดหน้าตักลวก ๆ ราวกับต้องการแสดงให้เห็นว่ารังเกียจฉันมาก จากนั้นก็หันไปสั่งพี่บอลที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ “เอาแบบแผนโครงสร้างตึกมาให้ฉันดูด้วย” “ครับเสี่ย” พี่บอลรับคำพร้อมกับเดินออกไปจากรถเพื่อเปิดประตูให้กับเสี่ย ส่วนฉันก็เปิดประตูออกเองแล้วเดินอ้อมมาหาเขา พร้อมกับแหงนคอขึ้นมองตึกสูงขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นสง่าในกลางเมือง ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้าที่ส่องลงมากระทบผิวจนแสบร้อนไปหมด “เดินตัวติดฉันตลอดล่ะ” “ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะหลับตาปี๋ยกมือขึ้นกุมขมับ น่าจะเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอแล้วมาโดนแดดจัด ๆ บวกกับไม่ได้ออกมานอกห้องหลายวัน ทำให้ร่างกายของฉันมันปรับรับแสงไม่ค่อยทันเลยรู้สึกเหมือนจะหน้ามืด พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าเสี่ยเดินนำขึ้นไปบนตึกแล้ว ฉันจึงรีบเดินตามไปติด ๆ ฉันไม่รู้ว่าที่นี่กำลังจะก่อสร้างเป็นอะไร รู้แค่เพียงว่ามันใหญ่โตมาก ๆ หากเป็นห้าง ก็คงใหญ่ถึงขนาดที่เป็นจุดศูนย์กลางอันดับหนึ่งของจังหวัดได้เลย “หมวกครับเสี่ย” คนที่อยู่บนตึกในชุดทำงานหันมามองที่เราทั้งคู่ ก่อนจะตรงเข้ามาหาพร้อมกับหมวกกันน็อกสีเหลืองหนึ่งใบ จากนั้นก็หันไปร้องบอกเพื่อนอีกคนที่กำลังนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะ “เฮ้ย เอาหมวกอีกใบมาให้เมียเสี่ยหน่อย” “ไม่ใช่!” เสี่ยรีบปฏิเสธเสียงแข็งส่งผลให้คนที่เพิ่งตะโกนบอกเพื่อนหยุดชะงัก “นี่ไม่ใช่เมียฉัน” “อ๋อ... ขอโทษครับ” คนตรงหน้าโน้มหัวพร้อมกับยกมือขึ้นขอโทษด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ โชคดีที่เสี่ยไม่ได้ติดใจเอาเรื่องอะไร “ได้กี่เปอร์เซ็นต์แล้ว” เขาละความสนใจจากเรื่องที่ขุ่นเคือง แล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตึกที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ พร้อมกับคลี่เปิดแผนโครงสร้างที่เพิ่งได้รับมาหมาด ๆ “เฉพาะตึกนี้ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์แล้วครับ ส่วนกระจกด้านบนที่เสี่ยอยากได้ จะเอาแบบไหนครับ ที่ผมส่งไปให้เลือกเมื่อคืน ถ้าเอาอย่างดีเลยต้องเพิ่มงบส่วน...” “เอาให้ดีที่สุดทุกอย่าง เรื่องงบฉันไม่เกี่ยง” เขาเอ่ยพูดตัดหน้าทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ ก่อนจะหันมาสั่งให้ฉันเดินไปหยิบน้ำเย็นที่อยู่ในถังมาให้เขา “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปหยิบให้” พี่คนงานท่าทางใจดีเสนอ แต่กลับถูกปฏิเสธโดยเสี่ยทศพล “ไม่เป็นไร มีหน้าที่ของตัวเองก็ไปทำ นี่คนใช้ส่วนตัวฉัน” “อ๋อ... ครับ” ฉันไม่รอให้เสี่ยได้เอ่ยซ้ำ รีบเดินไปที่ถังแล้วหยิบน้ำมาให้เขา ใจจริงฉันก็อยากดื่มเหมือนกัน เพราะบนนี้มันร้อนมาก แต่ทว่าน้ำในถังดันเหลือขวดสุดท้ายพอดี ฉันที่คอแห้งผากริมฝีปากเกรอะก็ทำได้เพียงกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ประทังไปก่อน “นี่ค่ะ” ฉันยื่นขวดน้ำส่งให้กับเขา เป็นจังหวะที่เขายื่นเอกสารพะรุงพะรังมาให้ฉันถือ “เดินตามมา” คนร่างสูงดื่มน้ำเสร็จก็ยัดขวดน้ำใส่มือให้ฉันถือจนแทบจะล้นมือ เขาไม่ใส่ใจที่จะช่วยถือของเลยสักนิด รีบหันหลังแล้วเดินขึ้นไปตรวจดูชั้นอื่น ๆ ต่อ แล้วฉันจะทำยังไงได้ล่ะ นอกจากฝืนร่างกายที่เริ่มตาลายให้เดินตามหลังเขาต้อย ๆ “ขาดเหลืออะไรบอกไอ้บอลเลยนะ เดี๋ยวมันจะจัดการให้” เสี่ยเดินขึ้นไปสำรวจทุกชั้น ก่อนจะแวะคุยงานกับคนที่คาดว่าเป็นหัวหน้าช่างไฟ แล้วทำทีจะเดินขึ้นไปที่ชั้นบนอีก “เสี่ยคะ” ฉันเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอันแหบพร่า ขาเริ่มก้าวไม่ออกจนต้องยื่นมือไปยันผนังปูนเอาไว้ “อะไร” เขาหันกลับมาถามพลางยกทิชชูขึ้นซับเหงื่อที่ไหลอาบลงลำคอ “ดาวขอพักก่อนได้ไหมคะ” “สำออย” เขาสวนกลับมาทันที แม้สภาพฉันตอนนี้จะอิดโรยจนแทบร่วง “ดาวรู้สึกเหมือนจะหน้ามืดจริง ๆ ค่ะ” คนร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยเหล่าคนงานผู้ชายร่างกำยำที่กำลังตั้งตาทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง “เห็นผู้ชายเยอะหน่อย โรคขี้อ่อยมันกำเริบเลยเหรอ” ฉันไม่ตอบโต้อะไรทั้งสิ้น เพราะต่อให้ฉันพูดให้ตาย เขาก็คงไม่เชื่อว่าฉันกำลังจะเป็นลม เลยต้องพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เรียกสติ จากนั้นก็เดินตามหลังเขาไปพร้อมกับกระชับข้าวของที่หอบมาเต็มมือ “งั้นดูชั้นสุดท้ายแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะพาลงไปกินข้าว” เสียงของคนตรงหน้าไม่ดังพอที่จะเข้าระบบประมวลในสมอง เพราะทันทีที่ก้าวขาขึ้นบันไดไปได้เพียงแค่สามก้าว โลกมันก็เริ่มหมุนราวกับตึกจะถล่ม ขาเริ่มหนักอึ้งจนก้าวไม่ออก เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น ฉันก็ปล่อยให้ตัวเองร่วงลงจากบันไดลงมากองที่พื้นอย่างหมดสภาพ ตุบ! “เฮ้ย!” เสียงฝีเท้ากรูกันเข้ามายังจุดที่ฉันกำลังนอนแหงนหน้าขึ้นมองเพดาน รู้สึกปวดหนึบไปทั่วทั้งหัว และเจ็บแปลบที่ขา ไม่รู้เลยว่าเมื่อกี้ตกลงมาท่าไหน ไม่มีแม้กระทั่งปัญญาจะดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ตามันพร่าเบลอไปหมดแล้ว “นับดาว!” ร่างสูงใหญ่ของคนที่คุ้นตาทว่ากลับพร่าเบลอกำลังอุ้มฉันขึ้นมาแล้วเขย่าเรียก แต่ฉันฝืนเปลือกตาอันหนักอึ้งนี้ไม่ไหวจริง ๆ จำต้องยอมให้มันประกบปิด แล้วหลับลึกลงไปอย่างที่ควรจะเป็น...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม