ฉันไม่รู้ว่าควรเรียกชีวิตแบบนี้ว่าสุขสบายดีหรือเปล่า หรือควรเรียกมันว่าแค่สบาย แต่ไม่ได้มีความสุขดี
ตั้งแต่เสี่ยสั่งห้ามไม่ให้ฉันขึ้นไปบนบ้านใหญ่ ฉันก็ไม่รู้จะทำอะไร วัน ๆ เอาแต่กินกับนอน แถมอาหารยังถูกยกมาเสิร์ฟถึงที่ ในหนึ่งวันฉันนับก้าวของตัวเองได้ด้วยซ้ำ หากเป็นแบบนี้ต่อไปอีกสักหนึ่งเดือน ฉันคงได้เป็นง่อยสมใจเสี่ยทศแน่นอน
ก๊อก ๆ
เสียงใครบางคนยกมือขึ้นมากระทบบานประตูจนเกิดเสียง เรียกฉันให้ลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตรงไปเปิดประตูแล้วแง้มไว้ให้พอชะโงกหน้าออกไปส่อง ตอนนี้ถึงได้เห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว สภาพฉันตอนนี้ไม่ต่างจากนักโทษจริง ๆ ถึงขนาดที่ไม่รู้วันรู้คืน
“ป้าเห็นนอนเหงา ๆ อยู่คนเดียวน่ะ เลยเอาไหมพรมมาให้ถักแก้เบื่อ ถักเป็นไหม ป้ามีหนังสือคู่มือให้ด้วย”
“หูยย”
ฉันตาโตราวกับเด็กเห็นของเล่นใหม่ รีบยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณป้าบานจนแทบจะกราบ ก่อนจะเอื้อมมือรับข้าวของในถุงผ้าขนาดใหญ่ พอลองหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นของใหม่ทั้งหมดเลย
“โห ยังใหม่ ๆ อยู่เลย”
“ใช่ ป้าซื้อไว้จะเป็นปีแล้ว ไม่มีเวลาถัก เอานอนไว้ในตู้เฉย ๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เลยคิดว่าเอามาให้ดาวถักเล่นดีกว่า”
“ขอบคุณมากนะคะ ในบ้านหลังนี้ก็มีแต่ป้านี่แหละ ที่ใจดีกับหนูที่สุด”
ฉันยิ้มบาง ๆ ส่งให้ ก่อนจะล้วงมือหยิบของที่อยู่ในถุงขึ้นมาดูอย่างตื่นตา เมื่อก่อนฉันก็เคยถักไหมพรมอยู่บ้าง แต่ซื้ออุปกรณ์ได้แค่จำกัดเพราะไม่มีเงินมากพอ ไหมพรมก็ต้องซื้อแค่สองสีเท่านั้น แต่ในถุงที่ป้าบานถือมาเรียกได้ว่ามีครบทุกเฉดสี ฉันถึงได้ตื่นเต้นจนยิ้มไม่หุบ
“เฮ้ออ ปกติเสี่ยเขาก็ใจดีนะ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ดูใจจืดใจดำกับหนูนัก หนูไปทำอะไรให้เสี่ยเขาขุ่นเคืองบ้างหรือเปล่า”
รอยยิ้มที่ประดับหน้าค่อย ๆ หุบลงอย่างเชื่องช้า พลันแหงนหน้าขึ้นมองป้าบานที่กำลังยืนรอคำตอบ
“เอ่อ... หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
ฉันพูดพร้อมกับหลบสายตา ไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันคือแฟนเก่าของเสี่ยทศ ไม่อยากให้ใครมองว่าเสี่ยตาต่ำ ที่ครั้งหนึ่งเคยโน้มตัวลงมาคบกับคนแบบฉัน
“ไม่เป็นไรนะ เสี่ยเขาก็อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้แหละ”
“ขอบคุณค่ะป้า ป้าอยากได้อะไรไหมคะ เดี๋ยวหนูถักให้”
ฉันรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากให้ป้าบานเกิดความสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเสี่ย แต่ยังไม่ทันที่ป้าบานจะได้เอ่ยตอบ ก็มีเสียงของใครบางคนเอ่ยแทรกเข้ามา
“คุณนับดาวครับ”
เราทั้งคู่ต่างหันมองไปที่บุคคลผู้มาใหม่ และได้เห็นว่าเป็นบอล บอดี้การ์ดคนสนิทของเสี่ยที่ตั้งใจเดินมาที่บ้านพักแม่บ้านเพื่อมาหาฉัน
“เสี่ยเรียกให้ขึ้นไปหาครับ”
“หือ?”
ฉันเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ไหนเขาบอกเองว่าห้ามฉันขึ้นไปบนบ้านใหญ่ แล้วเรียกฉันไปหาทำไมกัน
“ไหนเสี่ยบอกห้ามดาวขึ้นไปบนบ้านใหญ่ไง”
ป้าบานเอ่ยถามแทนฉัน ราวกับรู้สิ่งที่ฉันกำลังคิดอยู่ตอนนี้
“ไม่รู้เหมือนกันป้า”
เขาตอบอย่างละล่ำละลัก แล้วพยักหน้าเรียกให้ฉันเดินตาม ก่อนจะพาฉันมาหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงคึกครื้น ได้ยินเสียงเพลงดัง ๆ เล็ดลอดออกมาจากประตูไม้บ้านใหญ่
ก๊อก ๆ
“เข้าไปได้เลยครับ”
คนชื่อบอลเคาะประตูบอกคนด้านในแล้วหันมาพูดกับฉัน แต่กลับแสดงสีหน้าไม่สู้ดีราวกับมีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังกังวล ครั้นจะเอ่ยถามอะไรจากเขาก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะเขาได้เดินหันหลังจากไป ทิ้งให้ฉันเผชิญชะตากรรมที่ยากลำบากเพียงลำพัง
ฉันมองตามหลังเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาสูดลมหายใจเข้าปอดหนัก ๆ เพื่อเรียกสติ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับเสี่ยทศ ฉันถึงต้องแบกความกดดันมากมายขนาดนี้
แกรก
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดเข้าไปช้า ๆ ส่งผลให้เสียงเพลงภายในห้องกระทบต่อความรำคาญ จนอยากจะยกมือขึ้นทาบปิดหูเอาไว้ ทว่าจังหวะที่ก้าวขาเข้ามาในห้องได้เพียงก้าวเดียว และได้เห็นว่าตอนนี้เสี่ยทศกำลังนั่งดื่มเหล้ากับสาวสวยอีกนับสิบ ฉันก็เหมือนหูดับไปเสียดื้อ ๆ จากเสียงเพลงที่ดังก้องในช่วงแรก กลายเป็นความเงียบเชียบที่แสนอึดอัด ภาพตรงหน้าที่ไม่ทันได้เตรียมใจรับ มันทำให้ฉันก้าวขาไม่ออก เอาแต่จ้องมองสำรวจเรือนร่างของเสี่ยทศที่เปลือยท่อนบน มีสาวสวยในชุดน้อยชิ้นกำลังนัวเนียราวกับจะถลกเสื้อขึ้นให้เขาเชยชมเลยเดี๋ยวนี้
“เข้ามาสิ”
เสี่ยพูดยิ้ม ๆ ด้วยความอารมณ์ดี พร้อมกับกระชับคนร่างบางที่นั่งอยู่ข้างตัวมาแนบชิดยิ่งขึ้น
“ได้ยินหรือเปล่า บอกให้เข้ามา”
ฉันถูกดึงสติกลับคืนมาในทันที ก่อนจะเม้มปากเล็กน้อยด้วยความประหม่า แล้วเดินตรงเข้าไปหาเขาใกล้ ๆ แต่ยิ่งก้าวเข้ามาชิด และยิ่งได้เห็นสายตาของผู้หญิงกลุ่มนี้ ฉันก็ยิ่งวางตัวไม่ถูก เหมือนกำลังถูกนินทาและต่อว่าทางสายตายังไงก็ไม่รู้
“อะ”
ตุบ!
ถุงผ้าขนาดใหญ่ที่มัดเอาไว้แน่นถูกโยนส่งให้กับฉันจนรับแทบไม่ทัน
“อะ อะไรเหรอคะ”
“เสื้อผ้า เด็ก ๆ เขาบริจาคให้เพราะเวทนาน่ะ ไหว้ขอบคุณเด็ก ๆ ซะสิ”
“...”
หมายถึง... ให้ฉันไหว้ผู้หญิงที่กำลังมองฉันด้วยสายตาเหยียดหยามตอนนี้น่ะเหรอ?
“อย่าทำให้ฉันรำคาญไปมากกว่านี้ได้ไหม เวลาพูดอะไรก็รีบทำตามให้มันเร็ว ๆ หน่อย”
คนยิ้มร่าในตอนแรกเปลี่ยนสีหน้าเป็นหงุดหงิด จนฉันเริ่มกดดันและเผลอจิกเล็บลงถุงผ้าแน่น
“เสี่ยอย่าดุสิคะ พี่เขากลัวหมดแล้ว”
คนที่ยืนอยู่ด้านหลังโซฟา ตำแหน่งตรงกันกับเสี่ยทศยกแขนขึ้นมาโอบรอบคอ ก่อนจะซุกหน้าลงซอกคอพลันซุกไซ้อย่างไม่อาย สายตาของเสี่ยก็เปลี่ยนไปในทันทียามที่ถูกเอาใจ เขาเชิดหน้าหลับตาพริ้ม คงถูกใจกับการกระทำนี้ไม่น้อย
“ขะ ขอบคุณค่ะ”
ฉันก้มหน้าด้วยใต้ตาที่ร้อนผ่าว มันเจ็บระบมไปทั่วทั้งใจจนมือสั่น แต่ต้องฝืนยกมันขึ้นมาพนมแล้วก้มไหว้ให้มันจบ ๆ เสร็จแล้วก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไป แต่ก็ถูกคนบนโซฟาเรียกเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยว”
ฉันกลอกตาขึ้นบนเพื่อระงับน้ำตาของความพ่ายแพ้ แล้วเอ่ยตอบรับด้วยเสียงที่เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่
“คะ”
“พรุ่งนี้ตอนเช้าฉันจะไปดูงานที่โคราช และฉันจะเอาเธอไปด้วย”
ทั้งที่ไม่อยากหันกลับไปเผชิญ แต่คำพูดของเขากลับทำให้ฉันต้องหันไปมองอย่างอดไม่ได้
“ทำไมเหรอคะ”
“ฉันไม่ไว้ใจให้เธอเฝ้าบ้านฉันไง เพราะนอกจากเธอมันจะเป็นยัยงูพิษแล้ว ยังเป็นแรดด้วย”
ฉันถอนหายใจออกมาเสียงเบาอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วหันหลังให้กับเขาอีกครั้ง
“ที่นั่นมีแต่คนงานก่อสร้าง หวังว่าเธอคงไม่นุ่งน้อยห่มน้อยไปอ่อยคนงานที่นั่นล่ะ ใส่อะไรก็ให้มันรู้จักกาละเทศะบ้าง”
คราวนี้ฉันไม่หยุดฟัง รีบเดินตรงออกจากประตูแล้วลงมาที่ห้องของตัวเองทันที คนอะไรไม่รู้ ชอบแขวะ ชอบว่า เกลียดกันนักก็ต่างคนต่างอยู่สิ มาวุ่นวายกันทำไม
ตุบ!
มาถึงห้องฉันก็ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างอัดอั้น รีบปาถุงเสื้อผ้าใส่ที่นอนแล้วกระชากดึงเสื้อผ้าด้านในออกมาฟาดใส่เตียงเพื่อระบายอารมณ์ รู้สึกโกรธจนตัวสั่น และในคราเดียวกันก็น้ำตาไหลออกมาอย่างคุมไม่อยู่ ปกติฉันไม่ใช่คนอ่อนแอแบบนี้ แต่พอได้กลับมาเจอเสี่ยทศอีกครั้ง ฉันก็กลายเป็นคนเจ้าน้ำตาไม่เว้นวัน ทำไมฉันต้องใส่ใจเขาด้วย จะพูดอะไรก็ช่างเขาสิดาว แล้วถ้าเขาจะเอากับใครก็ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว เขาไม่ใช่แฟนเราแล้ว เขาไม่ใช่ของเราตั้งแต่วันที่คำว่าเลิกหลุดออกมาจากปากแกแล้วดาว
ตุบ ตุบ!
เสื้อแขนยาวสีเทาถูกฟาดลงบนเตียงครั้งสุดท้าย พร้อมกับพายุในใจของฉันที่สงบลง ฉันเริ่มนั่งนิ่งแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ ก่อนจะหันกลับไปเก็บเสื้อผ้าใส่ตะกร้า ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่าง นั่นใบอะไร?
ฉันตรงไปหยิบกระดาษสีขาวแผ่นเรียวที่ยาวเกือบสองคืบขึ้นมาดู แล้วก็ต้องนิ่งงันไปครู่หนึ่งพร้อมกับไล่สายตาดูอีกรอบให้แน่ใจ เพราะนี่คือบิลซื้อเสื้อผ้า และลงวันที่ไว้ว่าซื้อของวันนี้
ความสงสัยทำให้ฉันรีบก้มหยิบเสื้อผ้าที่เกลื่อนอยู่บนเตียงขึ้นมาดม ก่อนจะพบว่าได้กลิ่นเสื้อผ้าใหม่ แต่นี่ก็ยังไม่มั่นใจ ฉันจึงเอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้าอีก 2-3 ตัวขึ้นมาดม และพบว่าเป็นกลิ่นเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด
“ไหนบอกว่าของเหลือไง”
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูทำให้ฉันหันไปมองครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบรวบเสื้อผ้าใส่ถุงไว้ตามเดิม เพราะไม่อยากให้คนมาใหม่เห็นว่าฉันกำลังเดือดดาลไปเมื่อครู่นี้
“มีอะไรเหรอคะพี่บอล”
“เอ่อ... ผมขอดูถุงผ้าที่คุณนับดาวถือลงมาหน่อยได้ไหมครับ”
“อ๋อ ได้ค่ะ”
ฉันเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วหยิบถุงผ้ายื่นส่งให้อีกฝ่าย เขารับไปถือก่อนจะคลี่หาบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ด้านในจนคิ้วขมวด แล้วควานมือหาและเปิดดูอยู่นานก็ไม่เจอสักทีจนฉันต้องออกปากถาม
“หาอะไรเหรอคะ”
“ปะ เปล่าครับ”
เขายิ้มเจื่อนส่งให้แล้วหยิบเสื้อผ้าที่ดึงออกมาใส่คืนเข้าไปในถุง ก่อนจะนิ่งงันไปกลางอากาศราวกับสติหลุด เมื่อฉันยื่นบิลซื้อของส่งให้
“หานี่อยู่หรือเปล่า”
พี่บอลค่อย ๆ เลื่อนหน้าขึ้นมาจ้องมองฉันอย่างเหม่อลอย ก่อนจะเอื้อมมือรับแผ่นกระดาษไปถือและหลบสายตาราวกับทำหน้าไม่ถูก
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
เขายื่นถุงส่งให้ฉันแล้วเตรียมจะเดินหนีไป แต่ฉันก็เรียกเอาไว้ได้ทัน
“ผมไม่รู้ครับ ๆ”
เขาเอ่ยปฏิเสธ ทั้งที่ฉันยังไม่ทันได้ถามอะไรออกไปสักคำ
“ยังไม่ได้ถามเลย อย่าเพิ่งปฏิเสธสิคะ”
“อ่อ... แหะ ๆ”
คนร่างใหญ่ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกแก้เขินทันที
“เสี่ยเขาเอาเด็กมาที่บ้านบ่อยเหรอคะ”
“ไม่บ่อยหรอกครับ ครั้งแรก... ”
พูดแล้วก็เบิกตาโพลงราวกับหลุดพูดบางสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา
“ผมหมายถึงปกติไม่พามาบ้านครับ แต่เสี่ยจะออกไปหาประจำ”
“เหรอ แล้วทำไม...”
“ผมไปก่อนนะครับ”
พี่บอลไม่รอให้ฉันได้ถามเซ้าซี้ รีบขอตัวแล้วเดินจากไป ทิ้งความสงสัยและคาใจมากมายให้ฉันคิดไม่ตก
“รีบไปไหนของเขาเนี่ย”