เสียงโอดครวญของวีรภัทรทำให้คุณหญิงทิพปภายอมละมือ หากแต่ค้อนวงใหญ่ก็ยังถูกส่งไปให้แพทย์หนุ่มที่กำลังลูบแขนป้อยๆ ไม่ต่างจากตอนแรก เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่งใหม่ก็เท่านั้น
“เจ็บก็ดีทีหลังทำอะไรจะได้รู้จักคิดมากกว่านี้” คุณหญิงทิพปภาว่าเสียงเขียว “อายุอานามเราก็ไม่น้อยแล้วนะตาภัทร สามสิบแล้วนะเราน่ะ แถมยังเป็นอาจารย์หมอด้วย ทำไมถึงได้ทำตัวน่าเกลียดแบบนี้ฮะ”
พูดแล้วคุณหญิงทิพปภาก็อดที่จะฟาดมือลงไปที่ไหล่กว้างของลูกชายอย่างหมั่นไส้ไม่ได้ วีรภัทรหัวเราะหึๆ ก่อนจะตีสีหน้าจริงจังแล้วอธิบาย
“ไม่ได้น่าเกลียดสักหน่อยนะครับคุณแม่ ผมก็แค่อยากลองใจน้องเค้าก็เท่านั้นเอง”
“ลองใจยังไง”
“ก็อยากดูทัศนคติของน้องเค้าสักหน่อย แต่พอเห็นผมแต่งตัวแบบนี้เค้าก็เปิดแน่บไปเลย แสดงว่าน้องเค้ามองคนแค่ที่ภายนอกใช่ไหมครับแบบนี้ ผมพูดถูกไหมครับ”
วีรภัทรเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นเชิงถามกับรอยยิ้มนิดๆ ที่ผุดขึ้นตรงมุมปากได้รูปทำให้ได้รับค้อนวงใหญ่จากมารดาอีกครั้ง คุณหญิงทิพปภาถอนหายใจ
“ลองใจแรงเกินไปหรือเปล่า เป็นแม่แม่ก็ไม่เอานะแบบนี้ เหมือนคนสติไม่ดี”
คุณหญิงทิพปภามองลูกชายที่กำลังยิ้มแหยด้วยสายตาขุ่นเขียว ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบอธิบายว่า
“จริงๆ ผมก็กำลังจะเปิดเผยตัวแล้วนะครับ แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่น้องเค้าหนีไปเสียก่อน คุณแม่เลยอดได้ลูกสะใภ้เลย ว้า น่าเสียดายจริงๆ”
“ให้มันจริงเถอะนะตาภัทร และคราวหน้าห้ามทำแบบนี้อีกนะ”
“เดี๋ยวนะครับ คุณแม่หมายความว่า...”
“ใช่ แม่จะนัดดูตัวให้ลูกอีก ในเมื่อเราไม่ยอมมีลูกสะใภ้ให้แม่สักที แม่จะจัดการเรื่องนี้เอง”
“คุณแม่คิดว่าน้องรินกับคุณแม่ของเค้าจะกล้ามาเจอกับผมอีกงั้นเหรอครับ ผมว่าไม่นะ”
“แม่ไม่ได้มีเพื่อนแค่คุณหญิงรัตนาคนเดียวนะคะลูก ลูกสาวเพื่อนแม่ที่โสดๆ และเพียบพร้อมมีอีกเยอะค่ะลูกขา เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลนะคะว่าลูกจะไม่ได้นัดดูตัวอีก”
คุณหญิงทิพปภาว่าอย่างประชดประชันก่อนจะยิ้มกว้างออกมา ส่วนวีรภัทรที่คิดว่าตนคงรอดแล้วได้แต่ทำหน้าเซ็งและคิดในใจว่า
‘นึกว่าจะรอด แต่ก็ยังไม่รอดอีก สงสัยต้องเตรียมมุกใหม่ๆ มาใช้ซะแล้ว’
“เดี๋ยวนะครับ นั่นคือวิธีที่คุณใช้ตอนนัดเจอครั้งแรกใช่ไหมครับ”
“ใช่” วีรภัทรตอบวินธัย
“แล้วถ้าอย่างนั้นนัดครั้งต่อๆ มาล่ะครับ คุณเอาตัวรอดมาได้ยังไง”
วินธัยยังคงเป็นคนป้อนคำถาม สหทรรศกับภวิกาเองก็มองมาที่วีรภัทรอย่างใคร่รู้เช่นกัน วีรภัทรไหวไหล่เบาๆ ก่อนจะเล่าต่อ
“มุกแรกใช้ไม่ได้เพราะคุณแม่รู้ทันแล้ว ฉันก็เลยแกล้งทำ...” วีรภัทรเว้นจังหวะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นภวิกาภรรยาของสหทรรศกำลังจ้องมาที่ตนตาแป๋ว “เอ่อ หมอเท็นนายช่วยปิดหูน้องแยมหน่อยได้ไหม ฉันไม่อยากให้น้องแยมได้ยินพฤติกรรมแย่ๆ ของฉันสักเท่าไรหรอก ฉันก็อายเป็นนะ พี่ขอโทษทีนะน้องแยม”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ภัทรแยมเข้าใจ”
ภวิกาเบี่ยงหน้าไปทางอื่นและทำท่าจะยกมือขึ้นปิดหูของตนเอาไว้ แต่ยังช้ากว่าคนเป็นสามีอย่างสหทรรศที่เอื้อมมือมาปิดใบหูทั้งสองข้างของเธอเอาไว้
“เนี่ย ได้ซีนหวานไปอีก” วีรภัทรแซวส่วนวินธัยนั้นกำลังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“รีบๆ พูดมาเถอะน่าอย่าลีลา” สหทรรศบอกเสียงขุ่น
“ใจเย็นหน่อยสิ เลือดร้อนจริงๆ เลย” วีรภัทรกลั้วหัวเราะ “ที่ฉันรอดมาได้เพราะใช้มุกมารยาทบนโต๊ะอาหารน่ะ”
“ยังไงนะ ผมไม่เข้าใจ” วินธัยว่า
“ก็ใช้มุกมารยาทแย่ๆ บนโต๊ะอาหารนั่นแหละ อย่าให้ฉันสาธยายมากไปกว่านี้ถือว่าขอกัน เพื่อนคุณแม่ก็มีแต่คุณหญิงคุณนายทั้งนั้น และลูกสาวก็มีแต่คุณหนู พวกเขาทนมารยาทแย่ๆ บนโต๊ะอาหารไม่ได้หรอก”
เมื่อวีรภัทรเล่าจบสหทรรศจึงปล่อยมือจากใบหูของภรรยา ก่อนจะหยีเส้นผมบนศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู จนวีรภัทรอดแซวไม่ได้
“จริงๆ ซีนนี้ความสนใจทั้งหมดต้องพุ่งมาที่ฉันไม่ใช่หรอกเหรอ ทำไมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองโดนแย่งซีน นายเห็นด้วยกับฉันไหมหมอวิน”
“ไม่ได้ชื่อแยมก็เหนื่อยหน่อยนะ อยากเรียกร้องความสนใจจากหมอเท็นน่ะคุณต้องชื่อแยมเท่านั้น และต้องเป็นแยมคนนี้ด้วย”
เท่านั้นเองทั้งโต๊ะก็ระเบิดหัวเราะออกมา ยกเว้นสหทรรศที่มองเพื่อนสนิททั้งสองด้วยสายตาเขียวขุ่นแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก
“ฉันขอให้ศุกร์นี้นายไม่รอด และมุกกระโหลกกะลาของนายใช้ไม่ได้ผล”
“เฮ้ย ไม่เอาแบบนั้นดิ มาแช่งฉันแบบนั้นได้ไงกัน นั่นมันเรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะเว้ย”
วีรภัทรทำท่าขนลุกพลางสั่นหน้าหวือ คนที่หวงความโสดยิ่งกว่าเงินในกระเป๋าสตางค์อย่างเขาไม่มีทางยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่
“น้องแยม หมอเท็นพูดจาไม่น่ารักเลย จัดการให้พี่หน่อยครับ”
วีรภัทรหันไปอ้อนภรรยาของเพื่อน ภวิกาได้แต่อมยิ้มพลางคีบเนื้อย่างเข้าปากเพราะรู้ดีว่าวีรภัทรจงใจจะเย้าแหย่สามีของเธอเท่านั้น
“อ้อนเมียฉันแบบนี้อยากได้เบอร์ใช่ไหม”
“เบอร์โทร.ใช่ไหมครับ” วินธัยชงให้สหทรรศ
“เปล่า เบอร์รองเท้า ข้างซ้ายหรือข้างขวาดี”
“เฮ้ย หมอวินทำไมนายเปลี่ยนข้างเร็วอย่างนี้ล่ะ เราต้องอยู่ข้างเดียวกันไม่ใช่หรอกเหรอ”
วีรภัทรตัดพ้อเมื่อคนที่คิดว่าอยู่ข้างเดียวกันดันย้ายข้างหนีเสียอย่างนั้น วินธัยคีบเนื้อย่างเข้าปากอย่างไม่มีอาการเดือดเนื้อร้อนใจ ค่อยๆ เคี้ยวใจเย็นก่อนจะส่งเนื้อชิ้นนั้นลงท้องไปแล้วบอกว่า
“ผมก็แค่อยู่ข้างที่ได้เปรียบมากกว่าผมผิดตรงไหน”
สหทรรศกับวีรภัทรถึงกับส่ายหน้าให้กับคำตอบของวินธัย ส่วนภวิกานั้นทำเพียงอมยิ้มน้อยๆ เป็นวีรภัทรที่อดแซววินธัยไม่ได้
“ในกลุ่มเราถ้ามีคนที่ร้ายลึก ร้ายเงียบและร้ายสุดคงต้องยกให้นายว่ะหมอวิน หมอเท็นนายเห็นด้วยกับฉันไหม”
ท้ายประโยควีรภัทรหันไปถามสหทรรศซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ปฏิเสธเลยสักนิด ส่วนวินธัยนั้นยอมวางตะเกียบในมือลง เขายกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
“ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือครับ”
“หมั่นไส้ว่ะ ไอ้พวกที่ชอบคีพลุคเนิร์ดๆ เนี่ย”
วีรภัทรไม่พูดเปล่า เอื้อมมือไปดึงแว่นสายตาที่วินธัยสวมใส่เอาไว้ออกแล้วเอาไปซ่อนไปด้านหลังของตัวเอง วินธัยไม่ยอมไล่ตามคว้าคืน เสียงหัวเราะร่วนดังขึ้นจากโต๊ะของวีรภัทร นั่นทำให้ภัคร์พิมลกับชยุดาหันไปมอง เป็นจังหวะที่วินธัยเอี้ยวตัวเข้าหาพยายามแย่งแว่นคืนจากวีรภัทร และที่ภัคร์พิมลกับชยุดาเห็นก็คือภาพที่วินธัยคล้ายกำลังโอบกอดวีรภัทรอยู่
“โอ้มายก็อดดดด เรือคู่ชิปของพี่แล่นแรงมาก”
ชยุดาถึงกับยกมือขึ้นป้องปาก แววตาของเจ้าตัวก็ดูตื่นตะลึงระคนกรุ้มกริ่ม ภัคร์พิมลที่เอี้ยวตัวไปมองรีบเอี้ยวตัวกลับมาพลางถอนหายใจและทำหน้ามุ่ย ชยุดาที่ดึงสายตากลับมาจากโต๊ะของวีรภัทรตรึงสายตาไว้ที่ภัคร์พิมล เห็นสีหน้าดูไม่ค่อยสบอารมณ์ของอีกฝ่าย ก็มองด้วยสายตาคล้ายล้อเลียนอยู่ในที
“อยากเปลี่ยนใจก็บอกได้นะจ๊ะ พี่พร้อมคว่ำเรือ”
ภัคร์พิมลสั่นหน้ารัวๆ แล้วหยิบสับปะรดชิ้นใหญ่เข้าปากไปเป็นการกลบเกลื่อน และเลี่ยงจากสถานการณ์ตรงหน้าด้วยการลุกออกจากโต๊ะ
“พายน์อยากกินไอติมจังเลยค่ะ เดี๋ยวมานะคะ”