ภัคร์พิมลกับชยุดาออกจากร้านราวๆ สี่ทุ่มซึ่งก็คือเวลาที่ร้านปิดพอดี ทั้งคู่นั่งรถเต่าคันสีแดงสดที่ผ่านการใช้งานมาแล้วหลายปีซึ่งเจ้าของรถก็คือชยุดา ขับมาได้สักระยะ จู่ๆ รถก็กระตุก ชยุดาที่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติรีบตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง ก่อนที่รถจะดับลง
“รถเป็นอะไรหรือคะพี่ดา”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชยุดาหน้ามุ่ย “เชอร์รี่ลูก เชอร์รี่ อย่าทำกับแม่แบบนี้ ติดสิลูก ติด พลีส”
ชยุดาโอดครวญแล้วพยายามบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทอีกหลายครั้งแต่เจ้าเต่าแดงก็นิ่งสนิท ดูที่เกรย์น้ำมันก็ยังมี แต่เพราะไม่รู้สาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด สุดท้ายชยุดาต้องเปิดไฟฉุกเฉินแล้วควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าเพื่อติดต่อช่าง
“เดี๋ยวพี่โทร.หาช่างก่อนนะ เราต้องนั่งอยู่ในรถก่อน ห้ามลงจากรถเด็ดขาด”
“ค่ะ”
ภัคร์พิมลรับคำระหว่างที่รอชยุดาโทร.ติดต่อช่าง หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายใบเล็ก กดเข้าไปในหน้าจอ อ่านข่าวและท่องโลกโซเชียลมีเดียออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กเป็นการฆ่าเวลา
“อย่างน้อยๆ ก็ครึ่งชั่วโมงกว่าช่างจะมา นั่งท่องโซเชียลออนไลน์ไปก่อนนะพายน์” ชยุดาว่าด้วยท่าทางเซ็งๆ พลางถอนหายใจก่อนจะบ่นต่อว่า “เชอร์รี่ลูกแม่ ไม่น่าทำแม่ได้ลงคอ”
ภัคร์พิมลอดหัวเราะที่ได้ยินชยุดาต่อว่าเจ้าเต่าแดงไม่ได้ หญิงสาวหันไปมองเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่กำลังหน้ามุ่ย และกำลังไถปลายนิ้วหน้าจอโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“ใจเย็นๆ นะคะพี่ดา เดี๋ยวช่างก็มาค่ะ”
“จ้า พี่ก็โอเวอร์แอคติ้งไปงั้นแหละ” ชยุดาหันมาส่งยิ้มให้ภัคร์พิมล เจ้าตัวทำท่าเหมือนกับว่าเพิ่งจะนึกอะไรออกแล้วบอกกับภัคร์พิมล “นี่ ว่าก็ว่าเถอะ ความสัมพันธ์ของอาจารย์หมอวีรภัทรกับอาจารย์หมอวินธัยน่ะทำให้พี่นึกถึงซีรีส์เรื่องนึงเลย”
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องที่เขาชอบกันบอกกันว่ามิตรภาพลูกผู้ชายไง แต่มองจากดาวอังคารก็รู้จ้ะว่าเขาสองคนน่ะรักกัน คิกๆ ความรักมาในรูปแบบเพื่อน...กูรักมึงว่ะ”
ชยุดาหัวเราะร่วน ส่วนภัคร์พิมลได้แต่ยิ้มแหยๆ ซีรีส์เรื่องที่ชยุดากล่าวถึงเธอก็เคยดูมาก่อน มิตรภาพลูกผู้ชายที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าเพื่อนสองคนรักกัน แต่ไม่ได้รักกันแบบเพื่อนอย่างแน่นอน
เฮ้อ
ยากไปหมด
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก…
“อุ๊ยตาเถร!”
เสียงเคาะกระจกรถอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยดังขึ้นทำให้ชยุดาอุทานอย่างตกใจพลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นทาบอกและเป่าลมออกจากปาก ภัคร์พิมลเองก็สะดุ้งโหยงเช่นกัน ไม่ใช่เพราะเสียงเคาะกระจกรถที่ดังขึ้น แต่เพราะเสียงร้องของชยุดา ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเพ่งมองแล้วว่าคนที่มาเคาะกระจกคือวีรภัทร
“โหย หมอภัทรนั่นเอง พี่ตกใจหมดเลยค่ะ”
ชยุดาว่าตอนที่ลดกระจก วีรภัทรที่โน้มตัวลงจนใบหน้าหล่อเหลาอยู่ในระดับที่สามารถพูดคุยกับชยุดาได้สะดวก ดวงตาคมกริบเหลือบมองไปที่ภัคร์พิมลแว่บหนึ่งก่อนจะดึงสายตากลับมาที่ชยุดาอีกครั้ง
“รถเป็นอะไรเหรอครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะหมอ พี่ขับมาดีๆ จู่ๆ รถก็ดับไปซะงั้น”
“น้ำมันหมดหรือเปล่าครับ”
“ไม่ได้หมดค่ะหมอ พี่เช็คดูแล้ว”
“แล้วนี่ตามช่างหรือยังครับ”
“ตามแล้วค่ะหมอ แต่อีกประมาณครึ่งชั่วโมงโน่นน่ะค่ะกว่าช่างจะมาถึง”
“งั้นลงมารอช่างข้างล่างดีไหมครับเดี๋ยวผมรอเป็นเพื่อน ตอนนี้มันดึกแล้วนั่งอยู่ในรถแบบนี้อาจเกิดอุบัติเหตุได้นะครับ”
วีรภัทรคาดการณ์ถึงอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ บริเวณนี้เป็นพื้นที่ค่อนข้างมืด อาจมีคนขับรถไม่ทันระวังหรือว่าไม่ทันเห็นรถเสียจอดข้างทางและอาจขับมาชนท้ายเข้าได้
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ อยู่บนรถนี่พี่อึดอั๊ดอึดอัด พายน์ ลงไปรอข้างล่างกันดีกว่า”
ท้ายประโยคชยุดาหันไปบอกกับภัคร์พิมล ซึ่งหญิงสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะก็รู้สึกกังวลในเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน วีรภัทรถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ชยุดากับภัคร์พิมลได้ลงมาจากรถ ทั้งหมดเดินมาที่ริมฟุตปาธเป็นจังหวะเดียวกับที่วินธัยเดินลงมาจากรถมาพอดี
“รถเสียน่ะ ต้องรอช่างอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมง ก็เลยรอเป็นเพื่อน อยู่กันสองคนอันตราย”
วีรภัทรหันไปบอกวินธัยที่มายืนข้างๆ ส่วนภัคร์พิมลกับชยุดานั้นยืนถัดไปจากทั้งคู่ โดยภัคร์พิมลเป็นคนที่ยืนอยู่ใกล้กับวีรภัทร ใกล้เสียจนหญิงสาวได้กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของอีกฝ่าย เผลอสูดเข้าไปนิดหน่อยก็รู้สึกใจสั่นจนต้องขยับถอยห่างออกมาเล็กน้อย
แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก เพราะสุดท้ายภัคร์พิมลก็ยังใจเต้นแรง รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบที่ใบหน้าจนต้องเผลอเม้มเรียวปากเข้าหากันแน่น ภัคร์พิมลกำลังเขินอายทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ แพทย์หนุ่มแค่ยืนเฉยๆ
และตอนนี้ภัคร์พิมลก็เลือกจะยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหนอีกแม้ว่าจะรู้สึกขวยเขินอยู่ไม่น้อยก็ตาม
“ต้องขอบคุณหมอภัทรกับหมอวินมากเลยนะคะที่อุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อน”
ชยุดาเอี้ยวตัวมาบอก วีรภัทรกับวินธัยหันมามอง ก่อนจะเป็นวีรภัทรที่ตอบรับคำขอบคุณ
“ไม่เป็นไรครับ อยู่กันแค่สองคนมันอันตราย”
“แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณนะคะ แบบ หล่อแล้วยังใจดีอีก คิกๆ” ชยุดาป้องปากแล้วหัวเราะ และท่าทางที่ดูมีจริตจะก้านของชยุดาทำให้ภัคร์พิมลอมยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ
“ว่าแต่ มารถคันเดียวกันหรือคะ” ชยุดาถามขึ้นพลางอมยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่ภัคร์พิมลรู้ทันว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่
‘ไม่พ้นคงกำลังชิปหมอภัทรกับหมอวินอีกแล้วละสินะ’
“ครับ รถผมเอง ผมไปรับหมอวินมาจากบ้านและก็กำลังจะไปส่ง พอดีขับผ่านมาเจอรถของพวกคุณเข้าพอดี” วีรภัทรตอบ
“แหม น่ารักจังเลยนะคะ มีไปรับไปส่งกันด้วย”
ชยุดาทำท่าบิดตัวอย่างเขินอาย วีรภัทรกับวินธัยเลิกคิ้วมองชยุดาอย่างไม่เข้าใจนัก จนภัคร์พิมลต้องถองข้อศอกใส่อีกฝ่ายเป็นการเตือนสติ
“อุ้ย ไม่มีอะไรค่ะ แบบ เพื่อนดูแลเพื่อนน่ารักดีค่ะ”
วีรภัทรกับวินธัยทำเพียงพยักหน้ารับรู้แล้วดึงสายตากลับไป ส่วนชยุดานั้นก็ยังกระแซะแขนภัคร์พิมลเป็นพักๆ ยิ่งเห็นวีรภัทรกับวินธัยกระซิบกระซาบกันเจ้าตัวก็แทบจะกรีดร้องแต่ต้องกลั้นเอาไว้
ส่วนภัคร์พิมลนั้นได้แต่ยิ้มแห้งแล้ง
ภัคร์พิมลไม่ปฏิเสธเลยสักนิดว่าตัวเองก็เผลอแอบฟินเวลาที่วีรภัทรพูดคุยกับวินธัยอยู่เหมือนกันตามประสาสาววายที่เวลาเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอยู่ด้วยกัน
ทั้งฟินทั้งรู้สึกยุบยิบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
“เออนี่พายน์…”
เอี๊ยด!
โครม!
เสียงอึกทึกครึกโครมดังสนั่นทำให้คำพูดของชยุดาที่กำลังจะชวนภัคร์พิมลคุยสิ้นสุดลงตรงนั้น ตรงหน้าของพวกเขาคือรถเก๋งสีบลอนซ์เทาที่บริเวณหน้ารถชนฟุตปาธเข้าอย่างจัง กระโปรงหน้ารถก็เปิดอ้าออก ควันสีขาวพวยพุ่งออกมา รถหลายคันที่ตามหลังมาเบรคไม่ทันจนชนท้ายต่อกันไปอีกสามคัน กลายเป็นอุบัติเหตุซ้ำซ้อน วีรภัทรเห็นแบบนั้นก็รีบกลับเข้าไปในรถ หยิบกล่องถุงมือกับกล่องมาสก์ที่มักจะเตรียมเผื่อเอาไว้ในรถออกมาแล้ววางไว้ที่ฝากระโปรงท้าย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แพทย์หนุ่มเจอกับอุติเหตุนอกเวลางานแบบนี้ เขาหยิบมาสก์ขึ้นมาสวมกับถุงมือ วินธัยเองก็ทำเช่นเดียวกัน เพราะอย่างน้อยการเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นก็ต้องเซฟตัวเองด้วย
“พวกคุณช่วยโทร.ตามรถพยาบาลและโทร.แจ้งตำรวจด้วย เดี๋ยวผมกับหมอวินจะไปดูก่อนว่ามีใครเป็นอะไรบ้าง ถุงมือกับมาสก์ท้ายรถหยิบไปใช้ได้เลยนะ”
วีรภัทรบอกด้วยน้ำเสียงเรียบไม่มีแววตื่นตกใจอย่างคนที่มากไปด้วยประสบการณ์ ภัคร์พิมลกับชยุดาต่างรับคำพร้อมกัน
“ค่ะหมอ”
วีรภัทรกับวินธัยเดินไปยังที่เกิดเหตุในขณะที่ภัคร์พิมลกับชยุดายกโทรศัพท์กดโทร.ออก โดยภัคร์พิมลแจ้งรถพยาบาล ส่วนชยุดานั้นโทร.แจ้งตำรวจ
มีหลายคนกำลังมุงดูเหตุการณ์ แต่ก็ยังลังเลที่จะเข้ามาช่วย จนวีรภัทรกับวินธัยเข้าไป คนที่มุงดูในตอนแรกก็ขยับเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้น บางคนก็ช่วยโบกรถเคลียร์ทางให้เพื่อความปลอดภัยไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนอีก โดยวีรภัทรเลือกดูคนเจ็บจากรถคันแรกก่อน เพราะเป็นคันที่ประสบอุบัติเหตุโดยตรง อาจจะเจ็บหนักกว่าคันอื่น แต่บนรถมีผู้ประสบเหตุเพียงคนเดียววินธัยจึงแยกตัวไปดูคนเจ็บคนอื่น
“คุณครับ ได้ยินผมไหมครับ”
วีรภัทรร้องถามผู้ชายที่นั่งเบาะคนขับ ชายคนนั้นมีสีหน้าเหยเก มือข้างซ้ายของเขากุมอยู่ที่ขมับ เมื่อได้ยินเสียงของวีรภัทรดวงตาที่ปิดแน่นในตอนแรกก็เปิดขึ้น
“ครับ”
ชายคนดังกล่าวสรับคำเสียงเบา วีรภัทรทราบดีว่าอีกฝ่ายคงเจ็บไม่น้อย ดวงตาคู่คมพยายามสำรวจร่างกายของคนเจ็บอย่างละเอียด
“เจ็บตรงไหนบ้างครับ”
“ปวดหัวครับ ข้างซ้าย แล้วก็รู้สึกชาปลายนิ้วครับ”
“นิ้วไหนครับ”