บ่ายวันศุกร์
“ห้ามลืมนัดวันนี้นะคะลูกชายสุดที่รัก”
คุณหญิงทิพปภาโทร.มาย้ำ วีรภัทรส่ายหน้าน้อยๆ หากแต่บนใบหน้าหล่อเหลากลับมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่ก่อนที่เขาจะตอบมารดาออกไป
“เท่าที่จำได้ผมไม่เคยเบี้ยวนัดเลยนะครับ”
“ไม่ได้เบี้ยวนัดแต่ชอบทำตัวประหลาด”
“ประหลาดที่ไหนกันครับ นั่นเป็นนิสัยอีกด้านหนึ่งของผมต่างหาก จะมาเป็นเมียผมก็ต้องรับนิสัยผมให้ได้สิครับถึงจะถูก”
“ไม่ต้องทำมาเป็นพูดดีเลยนะตาภัทร อย่าคิดว่าแม่รู้ไม่ทันลูกนะ”
“อะไรกันครับคุณแม่ ผมทำอะไรผิด ผมว่า ก็ไม่นะ”
“ฮึ หัวเราะไปเถอะ ระวังจะหัวเราะไม่ออก เพราะว่าวันนี้แม่นัดกินข้าวที่บ้านและคุณพ่อของลูกก็จะร่วมโต๊ะกับเราด้วย”
“คุณแม่!”
“ไม่ต้องมาเรียกแม่เสียงดังเลยจ้ะ ไว้เจอกันนะตาภัทร เรื่องที่จะแกล้งทำมารยาทไม่น่ารักบนโต๊ะอาหารน่ะลืมไปได้เลยนะจ๊ะ ลูกก็รู้ว่าแบบนั้นคุณพ่อไม่ปลื้มแน่”
แล้วคุณหญิงทิพปภาก็กดวางสายไป วีรภัทรได้แต่ถอนหายใจตอนที่จัดการเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงก่อนที่ขายาวจะก้าวออกจากห้องพักแพทย์มุ่งหน้าไปยังแผนกผู้ป่วยนอก
“นี่แกใกล้ถึงหรือยัง ฉันอยู่ที่ร้านแล้วนะ”
ธนดลเพื่อนสนิทของภัคร์พิมลที่ร่างเป็นชายแต่จิตใจเป็นหญิงกรอกเสียงไปตามสาย ภัคร์พิมลที่ใช้ช่วงไหล่หนีบโทรศัพท์เข้ากับใบหู หยิบรองเท้าผ้าใบคู่โปรดขึ้นมาสวมอย่างเร่งรีบตอบกลับ
“ออนมายเวย์แล้วจ้ะ”
“ออนมายเวย์หรือว่าเพิ่งจะออกจากห้องกันแน่พูด”
“แหมนังดลฉันก็กำลังไปอยู่นี่ไง”
“นังพายน์เดี๋ยวตบปาก บอกแล้วไงว่าฉันชื่อดอลลี่ ดอลลี่ย่ะดอลลี่ ไม่ใช่ดล”
“ชื่อที่แกตั้งขึ้นมาเองน่ะนะ พ่อกับแม่แกรู้หรือยังนะ” ภัคร์พิมลกลั้วหัวเราะ หญิงสาวจับโทรศัพท์แนบเข้ากับใบหู ระหว่างที่ขยับเท้าไปตามโถงทางเดิน
“พ่อรู้ แม่รู้ ว่าฉันชื่อดอลลี่ ดอลลี่ที่แปลว่าอิสระ เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ยอมใช้ชื่อดลหรอกค่ะ”
“ถามจริง ฉันมีเบอร์พ่อกับแม่แกนะ ลองกดโทร.ออกดูหน่อยดีไหมน้า ไม่ได้โทร.หามานานละ”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะนังพายน์ หยุดทันที หยุดโดยไม่มีอะไรกั้น”
“อะไรล่ะ ไหนบอกว่าพ่อกับแม่รู้แล้วไง”
“นั่นแค่อรรถรสย่ะ เก็บไว้เป็นความลับระหว่างเราก่อน ถือว่าขอกัน”
“จ้าคุณดล”
“พลีสคอลมีดอลลี่”
“ได้ค่ะคุณดอลลี่ เดี๋ยวเจอกัน”
ภัคร์พิมลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกดวางสายไป หญิงสาวเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพราะเกรงว่าธนดลเพื่อนสนิทที่เรียนพยาบาลมาด้วยกันแต่ทำงานต่างโรงพยาบาลจะรอนาน
ภัคร์พิมลก้าวออกจากรถไฟฟ้าสถานีสยาม ผู้คนค่อนข้างขวักไขว่ในช่วงเย็นเช่นนี้ หญิงสาวเดินผ่านสยามพารากอนมุ่งหน้าไปที่เซ็นทรัลเวิลด์เพราะนัดกับธนดลไว้ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง
“ออนมายเวย์บ้านแกหรือจ๊ะเพิ่งจะมาถึง เลตมากแม่” ธนดลบ่นอุบตอนที่เห็นภัคร์พิมลมายืนตรงหน้าแล้วส่งยิ้มแหยๆ มาให้พลางส่งค้อนวงใหญ่ให้อีกฝ่าย
“ก็ตอนที่แกโทร.ไปน่ะฉันอยู่หน้าประตูห้องแล้วไง นั่นแหละคือออนมายเวย์ของฉัน” ภัคร์พิมลโต้ตอบตอนที่ขยับเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง ดวงหน้ารูปไข่มีรอยยิ้มประดับอยู่เมื่อเห็นหน้าบูดๆ ของธนดล
“เชอะ” ธนดลสะบัดหน้าพลางกอดอกใส่
“งั้นฉันขอไถ่โทษด้วยการเลี้ยงข้าวหน้าเนื้อสักชุดดีไหมนะ”
“เฮ้ยแกก็แบบ ฉันก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นเปล่าวะ” ธนดลยกมือขึ้นทำท่าเอาผมทัดหูทั้งที่ตัวเองผมตัดสั้นไม่ได้มีผมไว้ให้ทำแบบนั้นได้จริง
“อ๋อเหรอ” ภัคร์พิมลลากเสียงยาว
“แต่คนเราอะนะ พูดแล้วต้องไม่คืนคำใช่ไหมล่ะ”
“เออๆ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“เริ่ดมากแม่”
ธนดลคลี่ยิ้มอย่างมีจริตก่อนจะยกมือเรียกพนักงาน ชายหนุ่มร่างมาดแมนแต่หัวใจเต็มเปี่ยมด้วยความเป็นหญิงออร์เดอร์อาหารโดยไม่ต้องขอเมนู
“ขอข้าวหน้าเนื้อสองชุดและเครื่องดื่มขอเป็นน้ำเปล่าครับ”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” พนักงานเดินกลับไปธนดลจึงหันกลับมาที่ภัคร์พิมล ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคล้าย
มีแววล้อเลียนอยู่ในที
“ดังใหญ่แล้วนะยะเพื่อนฉัน ทีวีเอย แฟนเพจช่องข่าวต่างๆ เอย มีหน้าเพื่อนฉันเต็มไปหมด”
“ผ่านมาสองสามวันแล้วนะทำไมแกเพิ่งจะมาแซว”
“ฉันอยากพูดต่อหน้ามากกว่า อยากดูหน้าเลิ่กลั่กของแกน่ะ”
“ทำไมฉันจะต้องทำหน้าเลิ่กลั่กด้วยล่ะ”
“อย่าให้ฉันต้องคาดคั้น” ธนดลยิ้มอย่างมีเลศนัย
“อะไรของแกอะดอลลี่” ภัคร์พิมลหลบสายตาเล็กน้อยตอนที่พูดออกมา
“แหม เรียกฉันดอลลี่โดยที่ฉันไม่ต้องออกปากร้องขอ แบบนี้แถวบ้านเรียกมีพิรุธนะยะ”
“บ้าบอ” ภัคร์พิมลเสมองไปทางอื่นตอนที่ตอบออกไป
“ชอบเค้ามาตั้งกี่ปีล่ะ หกหรือเจ็ดปีนะ”
“หกอุ๊ปส์” ภัคร์พิมลรีบยกมือขึ้นตะครุบปิดปากตัวเองแต่เหมือนว่าจะไม่ทันเสียแล้วเมื่อเห็นสายตาล้อเลียนของธนดล
“ว้าว ว้าว ว้าว มีคนปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มเลยว่ะแก ไก่หลุด หลุดโดยไม่มีอะไรกั้น”
“เพลาๆ ลงหน่อยนะติ๊กต๊อกแม่สิตางค์น่ะ ฉันนึกว่าแม่มาเอง”
“แกจะบอกว่าแกไม่เคยดูงั้นดิ”
“ไม่”
“ไม่เคยดู”
“ไม่พลาด ถ้าพลาดแล้วฉันจะคุยกับคนอื่นรู้เรื่องงั้นเหรอ”
“แหม แล้วทำมาเป็นพูดดีนะยะ”
“ฮาๆ” ภัคร์พิมลหัวเราะจนไหล่สั่น
“พอเลยแก หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดทันที อย่ามาเนียนพาฉันออกนอกทะเล”
“แกต่างหากที่พาฉันออกนอกทะเลอะ”
“เออๆ เป็นฉันก็ได้” ธนดลโบกมือแบบขอไปที “แล้วยังไงจ๊ะ ทำไมถึงได้ไปอยู่ด้วยกันได้”
“แค่เรื่องบังเอิญน่ะ” ภัคร์พิมลว่าก่อนที่จะหันไปขอบคุณพนักงานที่ยกอาหารมาเสิร์ฟ “ขอบคุณนะคะ”
“ต่อๆ ฉันอยากฟัง” ธนดลว่าตอนที่ทั้งคู่เริ่มตักอาหารเข้าปาก
“คือฉันน่ะไปกินหมูกระทะกับพี่ดา พอขากลับเจ้าเต่าแดงของพี่ดาก็เกิดเสียขึ้นมา ระหว่างรอช่างอาจารย์หมอวีรภัทรก็ขับรถผ่านมาพอดี ก็เลยอยู่เป็นเพื่อนเพราะเกรงว่าสาวสวยสองคนอยู่กันตามลำพังจะเกิดอันตรายได้ก็แค่นั้น และอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นตรงหน้า พวกเราก็เลยเข้าไปช่วย อื้อ ลืมบอก อาจารย์หมอวินธัยก็ไปด้วยนะ เค้าไปด้วยกัน ”
“มั่นหน้ามั่นโหนกกะโหลกไขว้เชียวนะยะคำว่าสาวสวยน่ะ”
“ฉันว่าฉันก็ดูดีในระดับหนึ่งนะ” ภัคร์พิมลแสร้งไหวไหล่อย่างมีจริตจนธนดลอดใจไม่ไหวเอื้อมมือมาตีต้นแขนดังเผียะ หญิงสาวยกมือขึ้นลูบป้อยๆ หลังจากที่ธนดลดึงมือกลับไปแล้ว “มือหรือเท้าอะที่ตีมาถามจริง”
“มือค่ะมือหรือแกอยากลองเท้าก็ได้นะบอกก่อน”
“แหมขุ่นแม่ แค่ล้อเล่นได้ไหมล่ะ”
“ยกโทษให้ก็ได้ เพราะวันนี้ฉันอารมณ์ดีมาก” ธนดลบอกตอนก่อนจะตักอาหารเข้าปากพอส่งอาหารลงท้องได้ก็ว่าต่อ “แล้วแกจะอยู่เฉยๆ เนียนๆ ต่อไปแบบนี้หรือไง ไม่คิดจะรุกหน่อยเหรอ”
“เฮ้ยแก ฉันรับนะรุกไม่ได้หรอก”
“อย่ามาทำเป็นเลือดสาววายในตัวเข้มข้นนะเดี๋ยวแม่ฟาดด้วยส้อม อย่าหาทำ เป็นสาวเป็นนางพูดจาน่าเกลียด”
“แหม ก็แค่อรรถรสไหมล่ะ”
“ปากบอกอรรถรสแต่น้ำตาไหลถึงพื้นแล้วมั้ง”
“พูดอะไรของแกน่ะ”
ภัคร์พิมลกลบเกลื่อนความรู้สึกหม่นๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาฉับพลันของตัวเองด้วยการตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวอาหารในปากตุ้ยๆ ราวกับเอร็ดอร่อยกับรสชาติอาหารตรงหน้าเสียเต็มประดา
“ไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะพายน์นะ”
“อะไรเล่า”
“อย่างแกน่ะนะเค้าเรียกใจกากแต่ปากเก่ง แกต้องสู้ดิ โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วนะ แกจะกลัวอะไร”
“แกจะให้ฉันสู้กับอะไรล่ะ สู้กับตัวเองให้ก้าวผ่านความใจกาก สู้กับความรักที่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย หรือต้องสู้กับฐานะและครอบครัวที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวล่ะ หรือต้องสู้กับเรื่องที่ไม่แน่ใจว่าเขาชอบผู้หญิงหรือเปล่า ไหนจะเรื่องที่คุณหญิงแม่ของเขากำลังนัดดูตัวให้อีก แกว่าฉันควรสู้กับอะไรดี”
“เออๆ ฉันขอโทษที่พูดแบบนั้นก็แล้วกัน ฉันก็แค่อยากให้แกสมหวังน่ะ”
เห็นอีกฝ่ายเสียงอ่อยและหน้าม่อยธนดลก็เสียงอ่อนลงพลางเอื้อมมือไปแตะที่ต้นแขนของอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการปลอบประโลม
“ฉันรู้ว่าแกหวังดี ฉันไม่ได้โกรธอะไรหรอกนะ ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะฉันน่ะใจกากอย่างที่แกว่าจริงๆ นั่นแหละ”
ภัคร์พิมลถอนหายใจ เธอไม่ได้รู้สึกโกรธหรืออะไรกับสิ่งที่ธนดลบอก เธอรู้ว่าอีกฝ่ายหวังดี แต่เเป็นเพราะเธอที่ไม่มีความกล้ามากพอก็เท่านั้นเอง
“พอเถอะ เราจบเรื่องดราม่ากันดีกว่า เพื่อเป็นการปลอบใจที่ฉันปากเสียงั้นมื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธอะไร รู้ว่าแกน่ะหวังดี”
“เอ่อน่า ถือว่าเป็นการปลอบใจก็แล้วกัน”
“ไม่เอาอะ” ภัคร์พิมลส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ
“งั้นเอางี้” ธนดลบอกก่อนจะสบสายตากับภัคร์พิมลอย่างรู้กัน
“หารเท่า”
แล้วทั้งคู่ก็พูดออกมาพร้อมกันพลางหัวเราะคิกคัก บรรยากาศโดยรอบกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง ต่างตักอาหารตรงหน้าเข้าปากและหัวเราะให้กันเป็นครั้งคราวจนกระทั่งจัดการอาหารตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง