เห็นบิดามีสายระโยงระยางบนตัวหัวใจของนลินญาก็กระตุกวูบและได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้บิดาของเธอต้องเป็นอะไรไปมากกว่านี้เลย เมื่อเห็นว่าบิดาหลับ นลิญาก็ไม่ได้รบกวน หญิงสาวทอดสายตาไปที่ร่างของกอบกุุลราวๆ ห้านาทีก่อนจะออกไปนั่งรอที่ม้านั่ง ระหว่างนั้นหญิงสาวก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทร.ออก รออยู่ครู่หนึ่งปลายสายก็กดรับ
“ลุงชาญคะ คุณแม่เป็นไงบ้างคะ”
“มีแค่เวียนหัวนิดหน่อยครับ ตอนนี้คุณหมอให้นอนพักอยู่ที่ห้องสังเกตอาการครับ ตอนนี้คุณหญิงหลับอยู่ คุณหนูจะให้ผมปลุกไหมครับ”
“ไม่ต้องค่ะ ให้คุณแม่นอนพักไปก่อน เดี๋ยวบัวคุยกับหมอเรื่องคุณพ่อแล้วจะรีบไปดูคุณแม่นะคะ”
“ครับ”
กดวางสายแล้วนลินญาก็จัดการเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพง พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ดีแล้วที่คุณแม่ของเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้สิ่งที่กังวลที่สุดก็คืออาการของผู้เป็นบิดา หากแต่ไม่ถึงอีกห้านาทีต่อมา โทรศัพท์ของหญิงสาวก็ดังขึ้น นลินญารีบล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดรับสาย
“ค่ะคุณป้า”
“ป้าเพิ่งเห็นข่าวจากทีวี คุณกอบกุลเป็นไงบ้างลูก”
ปลายสายคือคุณหญิงทิพปภาที่โทร.มาถามไถ่อาการของกอบกุลอย่างเป็นกังวลหลังจากเห็นข่าวจากทีวีที่ฉายแทบทุกช่องว่ามีคนหัวใจวายกลางห้างดัง แต่มีคนช่วยเหลือไว้และนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งคนๆ นั้นก็คือกอบกุลบิดาของนลินญา นักแสดงสาวชื่อดัง
“คุณพ่อกำลังหลับอยู่ค่ะ ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู บัวกำลังรอคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้ค่ะ บัวอยากย้ายโรงพยาบาล”
“ทำไมล่ะลูก”
“คือตอนนี้คุณพ่อท่านอยู่ที่โรงพยาบาลของรัฐน่ะค่ะ คุณแม่ท่านไม่ค่อยสะดวกที่นี่สักเท่าไร”
อันที่จริงแล้วนั้นตัวนลินญาเองก็ไม่ได้ชอบใจโรงพยาบาลรัฐเท่าไรนัก เธอมองว่ามันค่อนข้างสกปรกและมีแต่พวกคนยากจนที่มักจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้ามอมแมมเสียส่วนใหญ่ เธอไม่ชอบที่ต้องไปคลุกคลีกับคนเหล่านั้นไม่ต่างจากคุณหญิงจรีย์ผู้เป็นมารดา หากแต่ต่อหน้าคนอื่นเธอต้องทำเป็นรับได้และไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ เรียกง่ายๆ ว่านั่นก็คือการสร้างภาพนั่นเอง
“อ่อ แล้วคุณหญิงจรีย์อยู่ข้างๆ หรือเปล่าลูก พอดีก่อนหน้านี้ป้าโทร.ไปเบอร์คุณหญิงจรีย์แล้วไม่มีใครรับสาย”
“พอดีคุณแม่เป็นลมค่ะ ตอนนี้นอนพักอยู่ที่ห้องสังเกตุอาการ”
“โอ๊ยตายแล้ว” คุณหญิงทิพปภาถึงกับยกมือขึ้นทาบอก “แล้วตอนนี้หนูบัวอยู่กับใครจ๊ะ”
“บัวอยู่คนเดียวค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวป้าให้พี่ภัทรเค้าไปอยู่เป็นเพื่อนนะ พี่เค้าทำงานที่นั่นเผื่อมีอะไรช่วยเหลือได้”
“บัวเกรงใจจังเลยค่ะคุณป้า” นลินญาบอกเสียงนอบน้อมหากแต่ริมฝีปากกลับเผยรอยยิ้มกว้าง “แต่ก็ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวป้าให้พี่ภัทรไปช่วยดูให้ แล้วพรุ่งนี้ป้าจะเข้าไปเยี่ยมคุณกอบกุลอีกที”
“ขอบคุณนะคะ”
คุณหญิงทิพปภากดวางสายไปแล้ว นลินญาจึงจัดการเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าสะพาย จังหวะที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมา พยาบาลก็เรียกพอดี
“ญาติคุณกอบกุล ศิริสกุลไชยย์เชิญพบคุณหมอด้านในได้เลยค่ะ”
“แม่ครับ ผมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ ผมเป็นศัลยแพทย์ ไม่ใช่อายุรแพทย์ แล้วอีกอย่างหมอเจ้าของไข้เขาก็ต้องดูแลอยู่แล้วนะครับ ผมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เราไม่ก้าวก่ายกันนะครับ”
วีรภัทรโอดครวญเมื่อมารดามาเคาะประตูห้องนอนในบ้านสิตานนทร์ หากเป็นในยามปกติแพทย์หนุ่มมักจะนอนที่คอนโดฯ เพราะสะดวกต่อการเดินทางไปโรงพยาบาล แต่เพราะวันนี้มีนัดกินข้าวและพรุ่งนี้เขาก็ไม่ได้อยู่เวรจึงกลับมานอนบ้าน แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกมารดามาปลุกในยามวิกาลเช่นนี้
“ลูกกลายเป็นคนแล้งน้ำใจตั้งแต่เมื่อไรกัน”
วีรภัทรถึงกับถอนหายใจตอนที่สบสายตาขุ่นๆ ของมารดาที่ยืนจังก้าหน้าห้อง มือทั้งสองข้างของแพทย์หนุ่มถูกยกขึ้นมาเพื่อประกอบคำอธิบาย
“คุณแม่ครับ ช่วยฟังผมนะครับ บ้านน้องบัวเค้าก็ต้องมีคนเยอะแยะอยู่แล้วนะครับ ต้องมีญาติพี่น้อง ถ้าไม่มีก็ต้องสาวใช้ แม่บ้าน เพียงเค้าโทร.กริ๊งเดียว เค้าก็จะมีคนอยู่ด้วยแล้วนะครับ”
“แต่ตอนนี้หนูบัวบอกว่าอยู่คนเดียว ยังไงลูกก็ต้องไป” คุณหญิงทิพปภากอดอกใส่ลูกชาย และโต้แย้งกลับไปอย่างไม่ยอมลดราวาศอก
“ผมไปไม่ได้หรอกครับ น้องบัวเค้าเป็นคนมีชื่อเสียง เกิดมีคนเห็นผมอยู่กับเค้าแล้วเกิดถูกถ่ายรูปขึ้นมา น้องเค้าจะเสียหายนะครับ”
“ไม่เสียหายหรอก ในเมื่อลูกกับหนูบัวกำลังอยู่ในช่วงดูตัวกันอยู่ แล้วอีกอย่างผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งก็รับรู้ แม่ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน”
“คุณแม่ครับ”
วีรภัทรบอกอย่างอ่อนใจ แต่เขาจะไม่ยอมไปเด็ดขาด ไม่ใช่เพราะแล้งน้ำใจ แต่หากเขาไปหานลินญาก็เท่ากับเขากำลังผูกมัดตัวเอง ต้องมีคนเห็นเขาตอนที่อยู่กับนักแสดงสาวแน่ อีกฝ่ายมีชื่อเสียงน้อยอยู่เสียเมื่อไร เขาไม่ยอมเสี่ยงเป็นอันขาด
“ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนใส่แม่นะ คราวนี้แม่ไม่ยอมจริงๆ ด้วย” คุณหญิงทิพปภายืนกรานเสียงขุ่นพลางจ้องลูกชายเขม็ง
“ผมไปไม่ได้จริงๆ ครับแม่”
“ทำไมลูกถึงไปไม่ได้ ถ้าเหตุผลเรื่องที่กลัวว่าหนูบัวจะเสียหาย เพราะถ้าเกิดมีข่าวออกมา มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในเมื่อลูกกับหนูบัวกำลังดูใจกันอยู่”
“แค่กินข้าวด้วยกันแค่ครั้งเดียวนะครับคุณแม่ อย่าเพิ่งเรียกว่าการดูใจเลยครับ”
“นั่นแหละๆ” คุณหญิงทิพปภาโบกมืออย่างขอไปที “ยังไงซะคืนนี้ลูกก็ต้องไปอยู่เป็นเพื่อนหนูบัว นอกเสียจากว่าลูกจะมีเหตุผลอย่างอื่นที่ฟังขึ้น แม่ถึงจะยอมรับ เป็นต้นว่า ลูกมีเมียแล้ว ไปอยู่ใกล้ผู้หญิงคนอื่นไม่ได้ เดี๋ยวจะเกิดการเข้าใจผิดกัน อะไรแบบนั้น ซึ่งแน่นอนว่าลูกยังไม่…”
“ครับ ผมไปไม่ได้เพราะเหตุผลที่คุณแม่พูดมาทั้งหมดเลยครับ”
“อะอะไรนะ อย่าบอกนะว่าลูกหมายความว่า...”
“ใช่ครับคุณแม่ ผมมีเมียแล้วครับ”