แพทย์หนุ่มกวาดสายตามองห้องพักชั่วคราวของตนเองอย่างประเมินก่อนจะทำหน้าเมื่อย ร่างสูงพ่นหายใจแรงๆ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ดีที่ยังแยกเป็นสัดส่วนห้องใครห้องมัน เตียงนอนขนาดสามจุดห้าฟุต ตู้เสื้อผ้าหนึ่งหลัง โต๊ะเครื่องแป้ง ห้องน้ำในตัวและที่สำคัญยังดีที่มีเครื่องปรับอากาศให้ ไม่อย่างนั้นคนขี้ร้อนอย่างเขาคงจะอยู่ยากแน่
คุณพ่อนะคุณพ่อ ช่างทำกับลูกชายได้ลงคอ
สหทรรศค่อนขอดบิดา จากนั้นร่างสูงจึงจัดการเก็บข้าวของใส่ตู้เสื้อผ้าแล้วเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงขนาดเล็กกว่าที่เขาเคยได้สัมผัส แขนแกร่งทั้งสองข้างกางออกจากลำตัวแนบไปกับฟูกนุ่มอย่างคนหมดแรง เปลือกตาหนากำลังจะปิดลง ถ้าไม่ติดว่าเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเสียก่อน
ชายหนุ่มล้วงเครื่องมือสื่อสารออกมาจากกระเป๋ากางเกงสแล็คสีดำ หมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นบิดาของเขาเอง
“ครับคุณพ่อ” สหทรรศรับสายเสียงเนือย ใบหน้าคมคายดูตึงนิดๆ ราวกับกำลังงอนผู้เป็นบิดาและต้องการให้ท่านมาง้อ
“ทำหมือนไม่อยากจะคุยกับพ่อ” ทรรศนะเย้าแหย่อย่างอารมณ์ดีและรู้อีกด้วยว่าคนเป็นลูกชายคงกำลังทำหน้างอเพราะเจ้าตัวชอบทำบ่อยๆ เวลาที่พ่อเจ้าประคุณเกิดไม่พอใจอะไรขึ้นมา นิสัยราวกับเด็กไม่รู้จักโต ทั้งที่จบแพทย์เฉพาะทางมาแล้วแท้ๆ
“คุณพ่อไม่มาเป็นผมดูบ้างไม่มีทางรู้หรอกว่าผมรู้สึกยังไง” สหทรรศว่าอย่างประชดประชัน
“แล้วตอนนี้ลูกรู้สึกยังไง ลองบอกพ่อมาซิ” ทรรศนะยังคงถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเคืองที่ถูกลูกชายตัวดีประชดประชันเข้าให้
“หึ! อย่าให้ผมบรรยายเลยจะดีกว่า”
“อ้าว...ซะงั้น” ทรรศนะกลั้วหัวเราะในลำคอ “วันนี้ได้ดูเอกสารแล้วเป็นยังไงบ้าง” เมื่อบุตรชายไม่ยอมกล่าวถึงความรู้สึก เขาก็เลยเปลี่ยนมาถามเรื่องงานเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง
“ผมจำข้อมูลอะไรไม่ได้ตั้งแต่เปิดแฟ้มแรกแล้วล่ะครับ” สหทรรศว่าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อ้าว…”
“แต่คุณพ่อไม่ต้องกังวลหรอกนะครับ ถึงแม้ตอนนี้จะจำไม่ได้ แต่ฉลาดๆ อย่างผมก็แค่เข้าไปดูข้อมูลใหม่ เดี๋ยวก็จำได้เองแหละครับ” แพทย์หนุ่มว่าอย่างโอ้อวดซึ่งก็สามารถเรียกรอยยิ้มจากผู้เป็นบิดาได้เป็นอย่างดี
“งั้นก็ขอให้ทำสำเร็จนะลูก ถ้าไม่ละก็ เตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวได้เลย”
“ไม่มีวันนั้นหรอกครับคุณพ่อ” สหทรรศปฏิเสธทันควัน อย่างไรเสีย เขาก็ไม่มีทางยอมถูกคลุมถุงชนแน่ บิดาของเขาก็แปลก นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว ที่สำคัญเขาก็ไม่มีทางยอมเด็ดขาด ถึงแม้จะทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ที่ยอมเพราะเกรงว่าบิดาจะลำบากต้องมาสืบสาวราวเรื่องเองต่างหาก เรื่องจะบังคับให้เขาแต่งงานน่ะลืมไปได้เลย
บิดาของเขากดวางสายไปแล้ว จากทีแรกตั้งใจว่าจะงีบก่อนแล้วค่อยตื่นมาอาบน้ำ บิดาทำให้แผนของเขารวนไปหมด ร่างสูงจึงลุกจากเตียง ตรงดิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการชำระร่างกาย
วันที่สองของการเตรียมพร้อมที่จะเข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานเปล สหทรรศตื่นแต่เช้าตรู่ ที่ตื่นแต่เช้าไม่ใช่เพราะขยันจะรีบไปศึกษาเอกสารกองโตอะไรนั่นหรอก แต่เป็นเพราะว่าเขานอนไม่ค่อยหลับต่างหาก
เมื่อแต่งตัวเสร็จ สหทรรศจึงเดินออกมาที่ระเบียงห้อง ตาคู่คมกวาดมองไปรอบๆ ที่หน้าหอพักมีต้นหูกวางขนาดใหญ่สองต้นที่คอยให้ร่มเงา ลานด้านหน้าเป็นสนามกีฬาไว้ให้พนักงานได้ออกกำลังกาย ส่วนฟิตเนตถ้าเขาจำไม่ผิดน่าจะอยู่ใต้หอพักพนักงานหญิง
ตาคู่คมยังคงกวาดสายตาสำรวจบริเวณโดยรอบราวกับกำลังเก็บรายละเอียดต่างๆ เอาไว้ให้ได้มากที่สุด ร่างสูงพ่นหายใจแรงๆ พลางส่ายหน้าให้กับโชคชะตาของตัวเอง จากนั้นจึงสาวเท้าออกจากห้องแล้วตรงไปยังห้องทำงานที่นิดาเตรียมเอกสารไว้เพื่อให้เขาได้ศึกษาข้อมูลอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“สวัสดีครับพี่นิดา” สหทรรศก้าวเข้ามาในห้องเดิมที่เขาใช้ศึกษาเอกสารเมื่อวาน เห็นนิดากำลังหยิบแฟ้มมาวางไว้ที่โต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เมื่อได้ยินเสียงทักทายจากเขาเจ้าตัวจึงเงยหน้าขึ้นมา
“สวัสดีค่ะหมอเท็น พี่เอาแฟ้มที่หมอเท็นต้องอ่านมาเพิ่มเติมให้จากของเมื่อวานค่ะ” นิดาส่งยิ้มให้แพทย์หนุ่มก่อนจะขอตัวออกทำงานของตนบ้าง “พี่จะนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะด้านนอก ถ้าหมอเท็นต้องการอะไรเรียกพี่ได้ตลอดนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
เมื่อนิดาลับสายตาไปแล้ว สหทรรศจึงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บุหนังอย่างดี ตาคู่คมกวาดสายตามองเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้า เป็นอีกครั้งที่ร่างสูงต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือหนาหยิบแฟ้มที่วางอยู่ด้านบนสุดขึ้นมา เปิดเอกสารผ่านๆ จนกระทั่งถึงหน้าสุดท้ายแล้วปิดมันลง
ไม่มีตัวอักษรใดซึมเข้าไปในหัวของเขาแม้แต่น้อย
มือหนายกขึ้นคลึงขมับตัวเองเบาๆ แล้วลงมือตั้งอกตั้งใจศึกษาเอกสารที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าเขามัวแต่โอ้เอ้ ระยะเวลาที่เขาต้องทำงานในตำแหน่งพนักงานเปลก็จะต้องยืดออกไปอีก เพราะฉะนั้นเขาควรรีบจบเรื่องนี้เสียที
สหทรรศใช้เวลาศึกษาเอกสารกองโตของโรงพยาบาลวรกุลอินเตอร์เนชันนอลอยู่ราวๆ หนึ่งสัปดาห์ แพทย์หนุ่มมีเวลาพักสองวัน ก่อนจะเริ่มต้นทำงานในตำแหน่งพนักงานเปลวันจันทร์ที่จะถึงนี้
ตอนนี้เขารู้สึกว่าร่างกายและสมองอ่อนล้า ร่างกายของเขาต้องการการผ่อนคลายเพื่อลดภาวะตึงเครียด ซึ่งเรื่องนี้เขาต้องมีตัวช่วย
“พี่รินคะ ฝากเตรียมห้องเบอร์เก้าหนึ่งศูนย์ให้หน่อยค่ะ มีรับใหม่เคสปอดอักเสบ คนไข้อายุสองขวบ แยมฝากเตรียมเครื่องดูดเสมหะและติดเกจ์ออกซิเจนสำหรับพ่นยาเอาไว้ด้วยนะคะ” หลังจากวางสายจากแผนกห้องฉุกเฉินที่โทร.มาแจ้งว่ามีคนไข้ที่ต้องนอนโรงพยาบาล ภวิกาจึงหันไปบอกรสรินผู้ช่วยเหลือคนไข้เพื่อจัดเตรียมห้องสำหรับรับผู้ป่วยที่จะต้องรับแอดมิท
“ได้ค่ะน้องแยม เดี๋ยวพี่จัดการให้”
ภวิกา สุขสราญเป็นพยาบาลวิชาชีพ ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลวรกุลอินเตอร์เนชันนอล เธอเป็นพยาบาลแผนกเด็ก ซึ่งประจำหอผู้ป่วยเด็กที่ตั้งอยู่บนชั้นเก้าของตัวอาคารสีขาวหลังใหญ่ โซนด้านล่างจะเป็นส่วนของแผนกห้องฉุกเฉิน ห้องจ่ายยา ห้องการเงิน แผนกประชาสัมพันธ์ ส่วนห้องอาหารของโรงพยาบาลตั้งอยู่ที่ชั้นสาม ชั้นสี่เป็นห้องพักเวรของพยาบาล ชั้นห้าเป็นห้องพักแพทย์เวร ส่วนชั้นอื่นๆ ที่เหลือไว้สำหรับรับผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ไว้นอนโรงพยาบาล
ภวิกาทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งแต่เธอเรียนจบพยาบาลศาสตร์บัณฑิตมาใหม่ๆ รวมเวลาถึงปัจจุบันก็ปฏิบัติงานมาได้ห้าปีเศษแล้ว ถึงแม้รายได้ต่อเดือนที่เธอได้รับจะค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่เธอจำเป็นต้องประหยัดให้มากที่สุด นั่นก็เพราะรายได้ของเธอไม่ใช่ของเธอเพียงคนเดียว ภวิกาต้องแบ่งรายได้แทบจะทั้งหมดที่เธอได้รับให้กับผู้มีพระคุณที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เธออายุเพียงหกขวบ บิดาและมารดาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วจากเธอไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เธอจึงอาศัยอยู่กับป้าที่เป็นพี่แท้ๆ ของมารดา ป้าของเธอมีบุตรสาวหนึ่งคนอายุมากกว่าเธอสองปี ส่วนสามีของป้านั้นได้เลิกรากันไปตั้งแต่ที่บิดาและมารดาของเธอจากไปได้ไม่ถึงปี ป้าของเธอจึงตกอยู่ในที่นั่งลำบากเมื่อต้องดูแลเด็กวัยใกล้เคียงกันถึงสองคน
ป้าของเธอชื่อว่าขจี ส่วนบุตรสาวของป้าขจีที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอชื่อว่าขวัญจีรา ซึ่งเธอเรียกว่าพี่ขวัญ ป้าขจีขายผักอยู่ในตลาดที่ชุมชนแถวๆ บ้าน รายได้ไม่ได้มากมายนักแต่ก็สามารถส่งเสียเธอจนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมปลาย และโชคชะตาของเธอไม่ได้โหดร้ายมากนัก เมื่อมีผู้ใหญ่ใจดีที่เธอบังเอิญช่วยท่านจากการถูกล้วงกระเป๋าให้ความเมตตาแก่เธอ และที่เธอสามารถเรียนจนจบพยาบาลได้ก็เพราะผู้ใหญ่ท่านนั้นให้ความเมตตา และผู้ใหญ่ท่านนั้นก็ไม่ได้เรียกร้องให้เธอตอบแทนเลยแม้แต่น้อย จนเธอเกรงใจต้องตอบแทนท่านด้วยการเข้าทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ และก็แน่นอนว่าเธอไม่คิดจะย้ายไปทำที่อื่นอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะมีโรงพยาบาลบางแห่งให้ค่าเหนื่อยมากกว่าที่เธอได้รับก็ตาม
หลังจากที่เธอเข้าทำงานเดือนแรก ป้าขจีก็เลิกอาชีพขายผักและก็ไม่ได้ทำงานอะไรอีกเลย ส่วนพี่ขวัญก็เลิกเรียนตั้งแต่จบมัธยมต้น ไม่ใช่เพราะป้าขจีไม่ส่งให้พี่ขวัญได้ศึกษาเล่าเรียน แต่เป็นพี่ขวัญเองที่เลือกแบบนั้น และปัจจุบันทั้งป้าขจีและพี่ขวัญก็ไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ รายจ่ายทั้งหมดจึงตกที่เธอ เธอไม่เคยหวงเลยที่ต้องแบ่งรายได้ให้แก่ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ทว่าช่วงสามสี่ปีหลังมา ป้าขจีค่อนข้างใช้เงินอย่างมือเติบ รวมถึงพี่ขวัญก็ด้วย เธอจึงไม่มีเงินเก็บเลยแม้แต่นิดเดียว คนภายนอกมักจะมองว่ารายได้ของเธอก็เยอะพอสมควร แต่เหตุใดจึงไม่มีเงินเหลือเก็บ หรือแม้กระทั่งรถยนต์สักคันที่เพื่อนร่วมวิชาชีพคนอื่นๆ ต่างก็มี แต่เธอกลับไม่มี บางคนสงสัยถึงกระทั่งมาถามเธอตรงๆ เธอก็ตอบกลับไปเพียงว่ารายจ่ายในครอบครัวค่อนข้างสูงเลยไม่เหลือเงินพอที่จะซื้อมันได้ เธอไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีอย่างที่คนอื่นๆ มีกัน แต่ที่เธอเริ่มกังวลใจในตอนนี้นั่นก็คือเมื่อวานป้าขจีโทร.มาหาแล้วบอกว่าต้องการเงินก้อนใหญ่เพื่อเอาไปใช้หนี้ สองแสนบาทคือจำนวนเงินที่ป้าขจีต้องการ ซึ่งก็แน่นอนว่าเธอไม่มี ตอนนี้ในกระเป๋าสตางค์ของเธอมีเงินไม่ถึงสองพันบาทเลยด้วยซ้ำ และเหลืออีกตั้งหลายวันกว่าเงินเดือนจะออก
ภวิกาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกลับมาตั้งอกตั้งใจจัดการกับงานที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง