เพราะรู้สึกถูกใจ
"คะ...คุณเป็นใครคะ"
กานต์พิชชามองเขาอย่างหวาด ๆ เธอไม่ปฏิเสธว่ากลัวเขา เพราะที่เธอเห็นเมื่อสักครู่ มันไม่ใช่เรื่องที่คนทั่ว ๆ ไปจะทำได้ ต้องเป็นคนที่มีอำนาจและอิทธิพลมากพอตัว ถึงจะมีลูกน้องเป็นชายฉกรรจ์นับสิบคนแบบนั้นได้
"อ้อ โทษที ผมลืมแนะนำตัว ผมปรัชญ์ครับ" เขาแนะนำตัวสั้น ๆ พร้อมกับหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้เธอดู "ผมไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ผมก็เป็นแค่นักธุรกิจคนหนึ่งเท่านั้น"
"นะ...นั่นลูกน้องคุณทั้งหมดเลยเหรอคะ"
จากที่เห็นว่าเขามีลูกน้องมากมาย และเธอแอบเห็นว่าลูกน้องของเขาพกวัตถุสีดำที่เรียกว่าปืนติดตัวเอาไว้ด้วย ทำให้เธอคิดไปในทางที่ดีไม่ได้เลยจริง ๆ กานต์พิชชาก้มมองนามบัตรที่เขาให้มาอีกครั้ง ในนี้บอกว่าเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ถ้าทำแค่นี้จริง ๆ เขาจำเป็นจะต้องมีลูกน้องเป็นชายฉกรรจ์เยอะขนาดนี้เชียวหรือ...
"ครับ"
"ละ...แล้วนอกจากธุรกิจนี้ คุณมีธุรกิจอย่างอื่นอีกไหมคะ"
"ไม่มี ผมทำธุรกิจด้วยความสุจริต บริษัทผมจดทะเบียนและเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนดทุกอย่าง" เขาบอกเธออย่างหนักแน่นตรงไปตรงมา เห็นท่าทางและสีหน้าของเธอ เขาก็พอจะเดาออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
"แล้วทำไม..."
กานต์พิชชามองไปยังคนขับรถ และบอดีการ์ดหรืออาจจะเป็นผู้ช่วยของเขาที่นั่งข้าง ๆ คนขับ
"ถ้าคุณสงสัยเรื่องนี้ ผมยินดีที่จะอธิบายให้คุณฟัง แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ผมอยากให้คุณสบายใจว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายอย่างที่คุณคิดแน่นอน และผมอยากให้คุณใช้เวลานี้คิดเรื่องข้อเสนอของผมมากกว่า"
เรื่องธุรกิจของเขา เขามีเวลาอีกมากมายที่จะอธิบายให้เธอฟัง หากตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลา เพราะในตอนนี้เขาและเธอควรคุยกันเรื่องถึงข้อเสนอของกันและกันมากกว่า
กานต์พิชชามองหน้าเขาอย่างชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมพยักหน้ายอมในที่สุด เมื่อลองพิจารณาชายหนุ่มที่นั่งข้างเธออย่างคร่าว ๆ พอสังเกตดูดี ๆ แล้วท่าทางของเขาก็ดูไว้ใจได้ ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างก่อนหน้านี้เลย และเธอเองก็อยากรู้เช่นกันว่าทำไมเขาถึงอยากแต่งงานกับคนแปลกหน้าอย่างเธอนัก จึงยอมที่จะวางความสงสัยในเรื่องธุรกิจของเขาเอาไว้ก่อน และเปลี่ยนมาสนใจข้อเสนอของเขาแทน
"เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วทำไมคุณถึงอยากแต่งงานกับฉัน"
"เพราะผมรู้สึกถูกใจคุณ" ปรัชญ์ตอบคำถามของหญิงสาวไปตรง ๆ อย่างไม่คิดที่จะปิดบัง
"คะ ?" หญิงสาวเหวอ รู้สึกงุนงงว่าเขามารู้สึกแบบนั้นกับเธอได้อย่างไร
"ที่จริงผมเห็นคุณตั้งแต่อยู่ในงาน และสังเกตจากสีหน้าของคุณ ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคงถูกบังคับให้มางานวันนี้…ใช่ไหม ?"
"ใช่ค่ะ ฉันถูกแม่บังคับให้มาด้วย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่คุณรู้สึกถูกใจฉันล่ะคะ" คำตอบของเขาไม่ได้ทำให้เธอหายสงสัยเลยแม้แต่น้อย เขาถูกใจเธอแล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่เธอถูกมารดาบังคับให้มาออกงานด้วยล่ะ
"คงเป็นเพราะความเหมือนกันของเราละมั้ง"
ปรัชญ์ว่าพลางยิ้มน้อย ๆ แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เธอกระจ่างอีกเช่นเคย และเมื่อเห็นว่าคิ้วของเธอยังขมวด เขาจึงพูดขึ้นมาอีก
"ผมเองก็ถูกแม่บังคับให้มางานนี้เหมือนกัน เบื่อจะแย่" คำว่าเบื่อจะแย่ที่ถูกพูดออกมาพร้อมสีหน้าแหยะ ๆ ของเขา ทำให้กานต์พิชชาหลุดขำออกมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เธอพอมีเวลาได้สังเกตใบหน้าเขาครู่หนึ่ง เขาเป็นคนที่หน้าตาดี เรียกได้ว่าหล่อเหลามากเลยทีเดียว หากไม่รู้ว่าเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เธอคงจะคิดว่าเขาเป็นดาราหรือไม่ก็นายแบบอะไรเทือกนั้น เพราะเขาสูงมาก ถ้าให้เดาคงจะเกินร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร อีกทั้งยังหุ่นดียิ่งกว่าดาราหรือนายแบบที่เธอเคยเห็นเสียอีก
"และถ้าให้ผมเดาอีก แม่คุณคงอยากให้คุณมาเจอไอ้หมอนั่นที่คุณบอกว่ามันเป็นแฟนเก่าด้วยใช่ไหม"
กานต์พิชชาหรี่ตาลงนิดหน่อย มองเขาด้วยสายตาประเมิน เธออยากถามเขาเหลือเกินว่าเขาทำอาชีพเสริมเป็นหมอดูหรือไง ถึงได้เดาถูกทุกอย่างขนาดนี้
"แสดงว่าแม่คุณก็บังคับให้คุณมางานนี้ เพื่อมาเจอลูกสาวของเพื่อนแม่คุณ ฉันพูดถูกไหมคะ" เมื่อเห็นเขาพยักหน้าตอบ เธอก็พยักหน้าเข้าใจทันที เรื่องพวกนี้คือ ‘ความเหมือน’ ที่เขาว่าสินะ อืม...ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอกับเขาก็เหมือนกันจริง ๆ นั่นแหละ
"แต่ดูแล้ว คุณไม่น่าเป็นคนที่จะถูกแม่บังคับได้ง่าย ๆ เลยนะคะ"
เธอพูดติดตลกระคนสงสัย ดูจากบุคลิกของเขาแล้ว อย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นคนที่ยอมให้ใครมาบงการชีวิตได้ง่าย ๆ
"คุณต้องเจอฤทธิ์ของแม่ผม แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมผมถึงต้องยอม"
จริงอย่างที่เธอว่า ปรัชญ์ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาบงการชีวิตได้ง่าย ๆ แต่ที่เขายอมนั้นเป็นเพราะมารดาเขาไม่เหมือนใคร เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อยากได้อะไรก็ต้องได้ ถ้าไม่ได้ก็จะอาละวาด และคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากบิดาของเขา
เรื่องที่เขาไม่ยอมแต่งงานเสียที ทำให้มารดาเขาอาละวาดจนบ้านแตกมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าบิดาเข้าไปช่วยพูดอย่างไรก็ไม่เป็นผล ไม่แคล้วถูกมารดาของเขาอาละวาดกลับมาทุกครั้ง และเพื่ออยากตัดปัญหาให้มันจบ ๆ ไป ก็กลับกลายเป็นว่าผู้เป็นบิดาก็ต้องมาเกลี้ยกล่อมเขาให้ยอมแต่งงานแทน
เขาสงสารบิดา เพราะท่านเป็นทุกข์เพราะมารดามานานแล้ว อันที่จริงเขาอยากให้ทั้งคู่เลิกกันไปเสียด้วยซ้ำ ทว่ากลับไม่มีใครยอมเลิก ด้วยเพราะยังรักหรือเพราะอะไรเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
"แล้วถ้าคุณมาแต่งงานกับฉัน แม่คุณจะยอมเหรอคะ"
เขาบอกว่าถูกบังคับให้มาเจอลูกสาวของเพื่อน ก็แปลว่ามารดาเขามีคนที่หมายตาเอาไว้แล้ว และถ้าเขามาแต่งงานกับเธอแทนที่จะเป็นคนที่ท่านเลือกให้ มารดาเขาจะยอมหรือ ?
"ก็ถ้าคุณยอมตกลง ผมจะบอกแม่ว่าคุณท้อง และผมต้องรับผิดชอบคุณ"
กานต์พิชชาตาโตขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำตอบง่าย ๆ ของเขา "จะ...จะดีเหรอคะ พอถึงวันนึงท่านก็ต้องรู้อยู่ดีว่าฉันไม่ได้ท้อง"
ก็แค่ทำให้ท้องก็สิ้นเรื่อง
ปรัชญ์เผลอคิดเองในใจ โชคดีที่ไม่ได้พูดออกไป และเมื่อคิดถึงเรื่องใต้สะดือ ชายหนุ่มก็เผลอมองสำรวจร่างกายหญิงสาวผ่านแสงสลัว ๆ ทำให้เห็นผิวกายนวลเนียนขาวผ่อง ไหล่และเนินอกที่โผล่พ้นออกมาจากชุดเกาะอก ส่งให้เขาเผลอกลืนน้ำลายลงคอเบา ๆ ร่างกายรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ชายหนุ่มรีบเบนสายตามองออกนอกตัวรถและรีบหนีบขาตัวเองเข้าหากัน เพราะกลัวเธอจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างที่มัน ‘ตื่น’ ขึ้นมาในเวลาที่ไม่ควรตื่น
"คุณคะ เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมจู่ ๆ ก็เงียบไป" เธอขมวดคิ้วมองเขาอย่างไม่เข้าใจ เพราะก่อนหน้านี้ก็คุยกันดี ๆ ทำไมตอนนี้เขาถึงเงียบไปและหันหน้าหนีเธอแบบนี้ล่ะ
"เอ่อ...ขอโทษครับ พอดีผมคิดอะไรนิดหน่อย" คิดอกุศลเสียด้วยสิ เขาตอบและรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ก่อนจะหันกลับมาสนทนากับเธออีกครั้ง "ว่าแต่เมื่อกี้เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ"
หญิงสาวรู้สึกงุนงงกับท่าทางของเขา แต่กระนั้นเธอก็ยอมตอบเขาไปแต่โดยดี "คุยถึงตรงที่ว่า สักวันแม่คุณก็ต้องรู้อยู่ดีว่าฉันไม่ได้ท้อง"
"อ๋อ..." ชายหนุ่มลากเสียงยาว พยายามดึงสติที่กระเจิงไปให้กลับมาอยู่ในหัวข้อสนทนาตามเดิม แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง "แต่กว่าจะถึงวันนั้นเราก็แต่งงานกันไปแล้วไง"
ได้ยินแบบนั้นกานต์พิชชาก็ต้องยิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะเธอไม่เห็นว่าวิธีนี้มันจะเวิร์กตรงไหนเลย ตรงกันข้ามอาจจะมีเรื่องวุ่นวายหรือปัญหาตามมาอีกมากมาย
"จริง ๆ แล้วเรื่องที่ผมจะแต่งงานกับคุณ ส่วนหนึ่งคือผมอยากแต่งเพื่อประชดแม่ด้วย"
"เพื่อประชด ?"
"ใช่ ผมอยากทำให้ท่านรู้ว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวท่าน ทุกคนต่างเกิดมามีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำตามความต้องการของใคร อาจจะฟังดูว่าผมเป็นลูกชายที่แย่นะ แต่ผมยอมแม่ตลอดไม่ได้จริง ๆ บางอย่างผมก็อยากเลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทำตามในสิ่งที่ท่านชี้ทางให้ แบบนั้นผมไม่โอเค"
"ฉันเข้าใจคุณค่ะ"
กานต์พิชชาสัมผัสได้ว่าเขาไม่โอเคและรู้สึกแย่จริง ๆ และเธอก็เข้าใจเขาเป็นอย่างดี เพราะที่เธอเจอก็ไม่ต่างอะไรกับเขา มารดาของเธออยากให้เธอแต่งงานกับขจรศักดิ์ พอเธอบอกว่าเลิกกันแล้วและจะไม่มีการแต่งงานใด ๆ ทั้งนั้น เธอก็โดนมารดาบ่นชุดใหญ่ บ่นจนหูชา และไม่ยอมให้เธอเลิกรากับอดีตแฟนง่าย ๆ ท่านยังคงหาช่องทาง พยายามเป็นแม่สื่อหาโอกาสให้อีกฝ่ายเข้าถึงตัวเธอได้อีกต่างหาก
"เราเหมือนกันจริง ๆ ด้วย เพราะแม่ฉันก็เป็นเหมือนแม่คุณ"
"เพราะแบบนี้ไง ผมถึงคิดว่าคุณควรแต่งงานกับผม"
"เราเหมือนกันก็จริง แต่ฉันคิดว่าเรื่องแต่งงาน...มันเกินไปนะคะ"
เธอเข้าใจที่เขาบอกว่าต้องการทำประชดมารดา แต่การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย อีกอย่างเขากับเธอเพิ่งรู้จักกัน นิสัยใจคอเป็นอย่างไรเธอก็ไม่รู้ ทำอาชีพสุจริตจริงหรือเปล่าก็ยังไม่มีอะไรมายืนยัน
"แปลว่าคุณไม่ตกลง ?" เขาถามพลางเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง ถึงจะแอบเสียดายนิด ๆ แต่เขาก็จะเคารพการตัดสินใจของเธอ
"ค่ะ ฉันไม่แต่ง" เธอสบตาเขาแล้วบอกอย่างหนักแน่น จริงอยู่ที่เธอเข้าใจเขา แต่จะให้เธอแต่งงานกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน เธอทำไม่ได้จริง ๆ
ปรัชญ์ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ด้วยรู้สึกผิดหวังนิด ๆ แต่ก็พยักหน้ายอมรับการตัดสินใจเธอในที่สุด "โอเค ถ้าคุณไม่แต่งผมก็ไม่บังคับ แล้วจะให้ผมไปส่งที่ไหน"
ถึงแม้การเจรจาไม่เป็นไปตามดั่งใจหวัง แต่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายกับเธอถึงขนาดปล่อยให้เธอลงข้างทางอย่างที่พูดเอาไว้ เห็นแก่ที่เธอต้องพบเจอปัญหาชีวิตเหมือนกัน เขาจะไปส่งเธอตามที่ ๆ เธอบอกแล้วกัน
"ไปโรงแรม...ค่ะ" กานต์พิชชาบอกชื่อโรงแรมที่ต้องการจะไปกับเขา
"ไม่กลับบ้าน ?"
"ไม่ค่ะ"
ขืนกลับไปตอนนี้ เธอต้องโดนคุณหญิงกรกฎลากตัวออกจากห้องมาบ่นยันเช้าแน่นอน เพราะป่านนี้ขจรศักดิ์คงวิ่งแจ้นไปฟ้องมารดาของเธอเรียบร้อยแล้วว่าเธอหนีออกมากับผู้ชายคนอื่น
ปรัชญ์พยักหน้าแล้วสั่งคนขับรถให้ไปโรงแรมที่เธอต้องการจะไป จากนั้นเขาก็หยิบนามบัตรใบใหม่ขึ้นมา จดเบอร์โทรส่วนตัวลงไปหลังบัตรแล้วยื่นให้เธออีกครั้ง
"ถ้าเปลี่ยนใจก็โทร. หาผมได้ตลอดนะครับ"