หลังจากที่รวิสและคุณริสาผู้เป็นมารดายินยอมให้เธอไปฮ่องกงหลังจากรับปริญญา...เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เยว่ซินที่บินมาเมืองไทยอีกครั้งเพื่อมาร่วมงานรับปริญญาของเธอ พร้อมกับรับเธอไปฮ่องกงด้วยกัน หลังจากที่ตกลงกันแล้วว่าจะให้รวิสราไปดูลู่ทางเรียนต่อก่อนตัดสินใจ พี่ชายและมารดาของเธอก็เริ่มวุ่นช่วยเธอจัดการตารางชีวิตและข้าวของจำเป็นที่จะต้องหอบไปด้วย ทั้งๆ ที่เธอและเยว่ซินพยายามคัดค้านเพราะไม่ได้ไปอยู่นาน อย่างมากก็แค่ตามกำหนดของการเข้าประเทศที่คนไทยสามารถอยู่เที่ยวในฮ่องกงได้สูงสุดสามสิบวัน ซึ่งระหว่างที่อยู่ที่โน่น ถ้าเธอตัดสินใจได้ก็จะติดต่อมหาวิทยาลัยและคณะที่อยากเข้าเรียนไปเลย ก่อนจะกลับมายื่นเรื่องขอวีซ่านักศึกษาให้ถูกต้อง ตอนนั้นค่อยขนของล็อตใหญ่ก็ยังไม่สาย แต่พี่กับแม่เหมือนจะไม่ฟังสักนิด ทำให้เธอจำต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่ไปฮ่องกงถึงสองใบแทนที่จะเป็นกระเป๋าใบเล็กๆ เพียงใบเดียวเท่านั้น เยว่ซินเห็นอาการ ‘ห่วงเวอร์’ ของคนเป็นน้าก็ได้แต่หัวเราะขำ
เวลาผ่านไปเพียงไม่นานก็ถึงกำหนดที่เธอต้องเดินทางไปฮ่องกงกับเยว่ซิน ตอนนี้ทั้งครอบครัวก็อยู่ที่สนามบินเตรียมส่งเธอกับเยว่ซินขึ้นเครื่อง เพราะเป็นการเดินทางระยะสั้น ประจวบกับฮ่องกงนั้นเป็นปลายทางยอดฮิตของคนไทยจึงทำให้มีสายการบินมากมายบินตรงไปที่นั่น หญิงสาวกับเยว่ซินเลือกสายการบินประจำชาติอาหรับที่ขึ้นชื่อเรื่องการบริการดีที่สุดในโลกติดอันดับหลายปีซ้อน และตารางบินในช่วงเช้าทำให้พี่ชายที่เวรบ่ายปลีกตัวมาส่งเธอกับเยว่ซินได้
ขณะนี้เหลือเวลาราวๆ หนึ่งชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่อง รวิสราใช้ท่อนแขนเล็กๆ ของตัวเองโอบกอดร่างท้วมของผู้เป็นมารดาเอาไว้แน่นเมื่อท่านทำหน้าคล้ายกับจะร้องไห้
“หนูไม่อยู่บ้านแค่เดือนเดียวเองนะคะ แม่อย่าทำหน้าอย่างนั้นซี่” หญิงสาวเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงกระเซ้าปนหัวเราะ นี่เธอแค่ไปฮ่องกงเท่านั้นนะ แม่ยังมีอาการขนาดนี้ ถ้าเกิดเธอไปอเมริกาหรืออังกฤษ แม่คงร้องไห้แทบขาดใจแน่ๆ เลย
“เฮ้อ…อย่าไปก่อเรื่องให้ป้าจันทร์กับลุงซื่อหลางล่ะ เข้าใจไหมหนูเล็ก?”
คนเป็นพี่ชายเอ่ยแทรกขึ้น รวิสราจึงส่งสายตาค้อนใส่คนที่ไม่เคยเห็นเธอโตเป็นผู้ใหญ่สียที
“หนูไม่ก่อเรื่องอะไรหรอกค่ะ หนูเป็นเด็กดีจะตาย” หญิงสาวพูดเสียงงอนๆ ทำให้คุณริสาที่กอดร่างเล็กของบุตรสาว อดที่จะใช้มือกระตุกผมยาวเคลียบ่าเล็กๆ ของรวิสราด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้
“ย่ะ แม่จะเชื่อแกได้มากแค่ไหน” คุณริสาเอ่ยปรามาส รวิสราเห็นอย่างนี้หัวดื้ออย่าบอกใคร แถมไอ้นิสัยชอบช่วยเหลือคนไปทั่วอีกนั่นล่ะ จะทำใจเชื่อลงได้อย่างไรว่ายายลูกสาวของเธอจะไม่ก่อเรื่องก่อราวขึ้น พอคิดถึงตรงนี้คุณริสาก็กอดร่างของบุตรสาวแน่นขึ้นกว่าเดิม “เฮ้อ…แม่รู้สึกใจหายยังไงไม่รู้ เหมือนกับว่าแกไปคราวนี้คงจะไปนานเลย”
ท่านเปรยออกมา รู้สึกวูบไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน วินาทีหนึ่งคล้ายกับว่าเธอจะได้กอดบุตรสาวหัวดื้อเป็นครั้งสุดท้ายอย่างไรอย่างนั้น บ้าจริง! ทำไมเธอถึงคิดแบบนี้ได้ก็ไม่รู้ ลางสังหรณ์แปลกๆ นั่นทำให้เธอห่วงลูกสาวจับใจ จนอยากยกเลิกการเดินทางของลูกสาว ทว่ายังสำนึกอยู่ว่าลูกไม่ได้ไปลำบากไกลหูไกลตาที่ไหน จึงได้แต่ข่มใจไม่ทำตัวเป็นแม่ใจร้ายที่คิดจะกักขังลูกสาวตนเองให้อยู่แต่ในบ้าน
“แม่คิดมาก” รวิสราซบศีรษะลงกับบ่าของมารดาเป็นการออดอ้อนฉอเลาะ “หนูไปอย่างมากก็เดือนเดียว อีกอย่างแม่คิดซะว่าหนูไปเข้าค่ายบนเกาะแทนสิคะ แม่จะได้สบายใจ” เธอพูดติดตลก ส่งผลให้คนเป็นแม่ถึงกับค้อนขวับใส่ด้วยความหมั่นไส้แล้วผลักร่างเล็กๆ ที่เกาะเธอแน่นออก ใช้ปลายนิ้วจิ้มหน้าผากมนเกลี้ยงเกลาจนคนเป็นลูกหน้าหงายท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่ชายและพี่สาว
“ย่ะ เข้าค่าย ไปไป๊ นี่จะได้เวลาแล้ว รีบไปกันเถอะ” ตอนท้ายท่านเอ่ยไล่สองสาว เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว
“ค่า…” สองสาวขานรับพร้อมเพรียง คุณริสาได้แต่พยักหน้า ความไม่สบายใจอันเป็นลางสังหรณ์แปลกประหลาดนี้ยังคงไม่จางหาย
“เยว่ซิน” เธอหันไปทางลูกของพี่สาวแล้วดึงคนเป็นหลานเข้ามากอดลาบ้าง พลางกำชับฝากฝังกับอีกฝ่าย “น้าฝากดูแลยายหนูเล็กด้วยนะลูก น้องดื้อน้องซนไปบ้างก็อย่าทิ้งกันนะ เข้าใจไหม”
“ค่ะน้าสา” เยว่ซินพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “หนูจะดูแลอย่างดีเลย”
เธอบอกพร้อมรอยยิ้มเป็นการให้คำมั่นสัญญา ทำให้ผู้อาวุโสคลายความกังวล
“ถ้าหนูเล็กดื้อมากซนมากก็ส่งกลับบ้านเลยนะ เข้าใจไหม” คนเป็นป้ายังคงกำชับมาเรื่อยๆ ฟังแล้วเยว่ซินคาดว่าในรอบสองสามปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ญาติเธอจะต้องขยันก่อเรื่องแน่ๆ ถึงได้ถูกกำชับขนาดนี้
“รับรองเลยค่ะป้า หนูส่งคืนแน่ๆ” เยว่ซินรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ผู้สูงวัยกว่ากลับคิดไม่ออกเลยว่ารวิสราจะทนนิ่งเฉยไม่ก่อเรื่องปวดหัวได้อย่างไร
“ไปๆ สองสาวไปกันได้แล้ว แล้วอย่าลืมโทรบอกลุงซื่อหลางให้มารับกันล่ะเข้าใจไหม” รวิสเอ่ยสำทับอีกครั้ง
“ค่า…” รวิสราและเยว่ซินรับคำพร้อมกันด้วยสีหน้าและท่าทีสดใส รวิสราหันไปทางมารดาก่อนจะกอดลาท่านด้วยอาการหงอยๆ นิดหน่อยตามประสาคนรู้ว่าต้องไกลบ้าน
“แม่ดูแลตัวเองดีๆ นะคะ เดือนหน้าเจอกัน” หญิงสาวกำชับอีกคนเลยไปถึงผู้เป็นพี่ชาย
หญิงสาวคลี่ยิ้มสดใสให้มารดา เมื่อมองว่าได้เวลาที่เธอควรจะเข้าไปรอหน้าเกทได้แล้ว
“จ้ะ”
คนเป็นแม่กอดลูกสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผลักร่างของเจ้าหล่อนให้เดินเข้าไปในเกทเพื่อรอขึ้นเครื่องเสียที
ร่างเล็กของเฟิงลี่เซียนนั่งตัวตรงด้วยท่าทีเรียบร้อยสมกับเป็นกุลสตรีในสังคมชั้นสูง เบื้องหน้าของเธอเวลานี้คือเจ้าของร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา คมคายยิ่งกว่านายแบบชั้นนำของฮ่องกงซึ่งดูเรียบเฉยจนลี่เซียนอ่านไม่ออกว่าเขาคิดอะไร ดวงตาคมปลาบของชายหนุ่มจ้องมองเธอนิ่งด้วยประกายตาลุ่มลึก
นางฟ้าของจูเชว่ขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ช้อนดวงตาเรียวสวยของตนขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้งในยามที่พูดกับเขาเป็นประโยคที่สอง หลังจากเอ่ยคำว่าสวัสดีที่พูดไปในครั้งแรก
“ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้เจอกับคุณหลง ขอบคุณที่ให้เกียรติฉันนะคะ” เธอเอ่ยขอบคุณเขาที่ยอมมาตามนัดในวันนี้ เธอก็ไม่คิดว่าเศียรมังกรแห่งชิงหลงจะยอมออกมาพบเธอ
หลงเทียนหลงมองสบตาเธอตรงๆ ไม่มีร่องรอยอะไรบนใบหน้าอันเรียบเฉย ราวกับเขาไม่เคยมีความรู้สึกอะไร เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาทำเพียงพยักหน้ารับนิดๆ ก่อนจะพูดแค่ว่า “ครับ…”
“เอ่อ…”
ลี่เซียนถึงกับไปต่อไม่ถูก อย่างน้อยเขาก็น่าจะย้อนถามเธอกลับมาบ้างว่าเธอนัดเขาทำไม แต่เขากลับทำให้เธอพูดไม่ออกเพราะคำตอบสั้นๆ เพียงเท่านั้น หญิงสาวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาต่อ ต้องยอมรับว่าเธอทั้งอึดอัดและตื่นเต้น คนตรงหน้ามีชื่อเสียงโด่งดังในแง่ของความเยือกเย็นจนเย็นชา แถมเป็นหนึ่งในคนที่เธอรู้สึกได้ถึงความลึกลับและอำนาจที่แผ่ออกมา แม้ว่าเธอจะคุ้นเคยกับคนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับเขาแต่ก็ยังไม่ชินอยู่ดี อาจเพราะเธอไม่เคยพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวมาก่อน เธอไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างที่ข่าวลือพูดถึงหรือจะเลวร้ายยิ่งกว่านั้น
“คุณหนูอึดอัดหรือ...”
เทียนหลงถามหลังจากที่นั่งมองเธอทำท่าทางอึดอัดอยู่นานเกือบนาที ลี่เซียนถึงกับนั่งนิ่งเมื่อแวบหนึ่งเธอสาบานได้ว่าเธอเห็นมัน! เธอเห็นแววตาขบขันในดวงตาดำจัดเรียวสวยคู่นั้นของผู้ชายตรงหน้า มันทอประกายขึ้นมาจางๆ ก่อนจะวูบหายไป
แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอกล้าพูดกับเขาต่อไป
“ก็…นิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวยอมรับตามตรง มันคือสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากพอที่จนไม่จำเป็นต้องเสแสร้งปิดบังเขาให้ดูเป็นเหมือนคนโง่ “พอดีเรา...เพิ่งเจอกันครั้งแรก ฉันก็ไม่รู้จะชวนคุณหลงคุยอะไรดี” หญิงสาวเลือกจะสารภาพตามตรง เธอเห็นเขาเลิกคิ้วเข้มที่พาดเฉียงขึ้นน้อยๆ ราวกับว่าเขากำลังแปลกใจที่เห็นเธอสารภาพตามตรงในสิ่งที่คิด มากกว่าจะทำท่าปกปิดเพื่อรักษาหน้าตามวิสัยสตรีทั่วไป
วินาทีต่อมาลี่เซียนก็ต้องใจเต้นอีกครั้งเมื่อเห็นมุมปากของชายหนุ่มตรงหน้าเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม มันไม่ใช่รอยยิ้มที่แสดงออกถึงความดีใจหรือนุ่มนวลชวนฝัน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่านั่นทำให้ผู้ชายคนนี้น่ามองมากยิ่งขึ้น ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่เพียงแค่นั่งนิ่งๆ ก็ดึงดูดสายตาได้แล้ว ราวกับมีฟีโรโมนฟุ้งกระจายอยู่รอบตัว ทำให้คนที่อยู่ใกล้กระเจิดกระเจิงได้ง่ายๆ เพียงแค่เขาขยับตัว
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก”
เสียงทุ้มนุ่มของเขาเอ่ยขึ้นคล้ายกับจะปลอบโยนเธอ ลี่เซียนมองเขา ตาปริบๆ และอีกครั้งที่ริมฝีปากของผู้ชายตรงหน้าเหยียดยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มตามมารยาทที่เธอตีความไม่ออกว่าเขายิ้มด้วยความรู้สึกใด
“เพราะอีกไม่นานเราต้องสนิทสนมคุ้นเคยกันมากกว่านี้”
เสียงทุ้มนุ่มนั้นยังดังต่อไป ขณะที่ลี่เซียนได้แต่พยักหน้ารับ “ค่ะ…” จากนั้นหญิงสาวก็มีท่าทีผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น เธอลอบถอนหายใจยาว
เอาละ…ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเศียรมังกรแห่งชิงหลงไม่ได้มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อเธอ หลังจากหญิงสาวมองประเมินตลอดระยะเวลาที่เธอกับเขาเริ่มรับประทานอาหารมื้อแรกร่วมกัน เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลงเทียนหลง...จะเป็นอย่างที่เธอคิด
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นสิ่ง ที่เธอต้องการอาจจะง่ายดายขึ้นก็เป็นได้...
เฟิงลี่เซียนขึ้นลิโมฯ ของพวกจูเชว่ที่มารอรับและจากไปแล้ว... หลงเทียนหลงละสายตาจากท้ายรถที่เลี้ยวออกจากโรงแรม สถานที่ ‘นัดเดท’ ของว่าที่คู่หมั้นจากตระกูลใหญ่ ชายหนุ่มออกมาส่งหญิงสาวตามมารยาททางสังคมของสุภาพบุรุษที่ดีหลังจากเสร็จสิ้นการเดทที่
มันไม่มีอะไรมากนอกจากการทำความรู้จักทั่วๆ ไปเท่านั้น เขาเองก็ยังมองไม่ออกว่า ‘นางฟ้าของจูเชว่’ คิดอย่างไรกับเขา แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจคือเธอไม่กลัวเขาแต่เธอกำลังประเมินเขาอยู่ต่างหาก ตลอดมื้ออาหารนั้นทำให้เทียนหลงแน่ใจว่าคุณหนูเฟิงไม่ได้เป็นพวกสวยใสไร้สมองอย่างที่ใครๆ คิดและเขาก็ไม่ควรประมาทเธอ
นายใหญ่แห่งชิงหลงคิดในยามที่ยืนรอรถของตนเองมาจอดเทียบหน้าโรงแรม ระหว่างนั้น ‘ใครคนหนึ่ง’ ที่เขารู้ดีว่ามันแอบมาดักรอเขาแน่ๆ ก็ตามเข้ามาประกบเขาทันที
“เป็นยังไง มีนัดกับนางฟ้าแห่งตระกูลเฟิง สวยอย่างที่ข่าวบอกหรือเปล่า” เสียงกลั้วหัวเราะพร้อมกับสีหน้าระรื่นของคนถาม ทำให้มาเฟียหนุ่มได้แต่ถอนหายใจยาว ระอากับความอยากรู้อยากเห็นของคนที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งญาติ ก่อนจะตอบเพียงสั้นๆ แค่ว่า
“ก็ดี”
ทว่าดูเหมือนคำตอบของเขาคงจะไม่เป็นที่น่าพอใจ หานเฟิงจึงหาญกล้าใช้ศอกกระทุ้งสีข้างของเขาแล้วพูดคล้ายกับจะประท้วงอย่างไม่ชอบใจ “อะไรคือก็ดี นายนี่ไม่รู้จักเปิดตามองของสวยๆ งามๆ เลยนะเทียนหลง” ตอนท้ายไอ้คนเจ้าชู้บ่นหงุงหงิงเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน หานเฟิงเอาประเด็นนี้มาล้อเลียนเขาอย่างสนุกสนานแต่คนฟังรำคาญเป็นบ้า สองสามวันติดกันแล้วนับตั้งแต่เกิดข่าวเรื่องการทาบทามหมั้นหมายระหว่างทายาทสองตระกูลใหญ่ แน่นอนว่าเฟิงลี่เซียนนั้นความงามของเธอติดอันดับสาวงามผู้เพียบพร้อมของเกาะฮ่องกง ผู้ชายทั้งหลายต่างอยากครอบครองเธอ แต่ที่มากกว่าความงามของเธอคือชาติตระกูลและอำนาจที่พ่วงมากับการแต่งงาน สตรีที่ทั้งอ่อนแอและบอบบางเช่นเฟิงลี่เซียนกลายเป็นขนมหวานที่ใครๆ ต่างก็อยากลิ้มลองและครอบครอง
“พูดมากน่า” เทียนหลงบอกอย่างรำคาญ คิ้วเข้มพาดเหนือดวงตาคมขมวดมุ่นเข้าหากัน “แกนั่นแหละเลิกเอาเวลามารบกวนฉันแล้วไปทำงานซะ ฉันยังรอสรุปผลจากแกอยู่นะ” เขาเปลี่ยนเรื่องไร้สาระของอีกฝ่ายให้กลายเป็นเรื่องงาน พรุ่งนี้จะมีประชุมใหญ่ในเครือบริษัทชิงหลงทรานสปอร์ต ซึ่งครบรอบแถลงผลงานในไตรมาสที่สองแล้ว แต่ไอ้คนดูแลมันยังมาเอ้อระเหยลอยชายทำตัวราวกับคนว่างงานคอยเกาะติดรบกวนเขาอยู่อย่างนี้
“ครับๆ เจ้านาย ผมจะทำงานเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” หานเฟิงยกมือยอมแพ้ สองหนุ่มเริ่มก้าวเดินเมื่อรถลิโมฯ สีดำมันปลาบ พาหนะประจำตัวมาจอดเทียบพอดี
“ดี”
เทียนหลงตอบอย่างพึงพอใจ แล้วชายหนุ่มก็เป็นอันต้องถอยหลังเพื่อรักษาสมดุลของร่างกายเมื่อมีร่างของใครบางคนเดินเข้ามาชนเขา อีกครั้งที่คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ แต่สัญชาตญาณก็ทำให้เขาเอื้อมมือไปจับไหล่เล็กบอบบางของหญิงสาวที่เดินชนเขาเอาไว้มั่น เพื่อป้องกันไม่ให้เธอเซถลาลงไปกองกับพื้น มาเฟียหนุ่มโบกมือห้ามบอดี้การ์ดของตนเองที่ปราดเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าร่างเล็กๆ นี้น่าจะเป็นเพียงนักท่องเที่ยวธรรมดาเท่านั้นคงไม่เป็นอันตราย เห็นได้ชัดว่าเธอคงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินจึงไม่ทันมองทางจนชนเข้ากับเขา
“โอ๊ะ!” เสียงเล็กๆ หวานๆ อุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก เมื่อผละออกจากและเห็นว่าสูทของเขาซึมเปื้อนกาแฟในมือของเธอ เทียนหลงสบถในลำคออย่างไม่ชอบใจทำให้หญิงสาวยิ่งลนลาน มือเล็กๆ ปัดป่ายไปบนหน้าอกที่เปียกชื้นของเขา “ขอโทษค่ะ ขอโทษ!” หญิงสาวละล่ำละลักบอก และวินาทีนั้นเองที่เธอเงยหน้าขึ้นมองสบตากับเขา
เธอเป็นเจ้าของดวงตาคมหวาน...ดวงตาคู่ที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา มันเป็นประกายระยิบระยับวับวาวราวกับดวงดาวในคืนสุกใส เข้ากับดวงหน้า เรียวเล็กรูปหัวใจ หญิงสาวไม่ได้สวยจัดหากดูอ่อนหวาน ท่าทางมีชีวิตชีวาและประกายความสดใสของเธอ ทำให้หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะราบเรียบมาตลอดของมาเฟียหนุ่มถึงกับสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็น!