ธารมิกาจากไปทันทีหลังจากพูดเรื่องความลับที่ภูธรยังไม่ได้บอกกับอัยยา เธอสะใจสุด ๆ ไปเลยคิดเอาไว้แล้วว่าคนอย่างภูธรก็นึกถึงหน้าตาทางสังคมเป็นหลัก และคิดว่าอับอายที่โดนเปิดโปงเรื่องนี้
‘เก่งกับธารมันเร็วไปหน่อยค่ะสามี!’
อัยยามองภูธรเหม่อ เธอไม่คิดว่าภูธรจะโง่ขนาดนี้ ถึงขนาดจะออกจากตระกูลที่ร่ำรวยระดับหมื่นล้านด้วยเพราะอยากเลิกกับผู้หญิงคนนี้ คิดเอาไว้แล้วว่าเรื่องสัญญาแต่งงานมันต้องมีที่มาที่ไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นคงรั้งภูธรไว้ไม่ได้
“ทำไมภูไม่บอกอัยยาก่อนหน้านี้คะ” อัยยาถามเสียงเครือเจือด้วยความเสียใจ เธอแสร้งบีบน้ำตาเพื่อให้เขารู้สึกสงสาร
“ผมก็กำลังจะบอกครับ แต่ทว่าธารมิกามาขัดจังหวะเสียก่อน”
“หากอัยรู้ก่อนสักนิดคงไม่พูดเรื่องขายหน้าออกไป” อัยยาพูดมองเขาด้วยความผิดหวัง ทำเอาภูธรร้อนรน เธอจึงใช้จังหวะนี้ขยี้ต่อ “ภูเห็นอัยหวังในทรัพย์สินเงินทองของภูใช่ไหมคะ ถึงมีความลับกับอัย แบบนี้อัยเสียใจมากเลยนะคะ”
“อัยครับผมไม่คิดจะทำอย่างนั้นสักหน่อย แค่ผมยังจัดการอะไรไม่ลงตัว มันอาจจะยุ่งยากสักหน่อยแต่ผมคิดว่าจัดการให้จบได้แน่นอน ธารมิกาพูดยากทำให้ผมยังต้องคาราคาซังอยู่ในธงพานิชย์และยังต้องรับหน้าที่เป็นผู้บริหารต่อ”
อัยยาอยากได้ยินคำนี้แหละ ตราบใดที่เขายังอยู่ธงพานิชย์ เธออยากจะให้เขาเลิกรากับธารมิกาอย่างสุดกำลัง
“ในเมื่อภูจำเป็นต้องอยู่ก็อยู่ค่ะ แค่เราค่อย ๆ ช่วยกันแก้ปัญหา ในเมื่อตระกูลภูหลอกใช้ภูมาทั้งชีวิตไม่สู้เราใช้ประโยชน์จากมันหน่อยเหรอคะ”อัยยาแนะนำเขาแต่ก็ค่อย ๆ พูดแบบอ้อม ๆ จนให้เขาคิดแต่ดูเหมือนใบหน้าของเขาแสดงเด่นชัดว่าไม่อยากเกี่ยวข้องกับธงพานิชย์ นี่เธอกำลังคุยกับคนโง่ที่ทิ้งเงินหมื่นล้านหรือไง
งี่เง่าสิ้นดี!
“พี่คิดว่าพี่จะทำให้ตัวเองมายืนในจุดสูงสุดเหมือนธงพานิชย์ได้” ภูธรยังคงยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองเก่งกาจ แต่หารู้ไม่ว่าอีกคนไม่ได้คิดอย่างเขาเลยสักนิด
“ภูคะ ต่อให้เราเก่งแค่ไหนการสร้างธุรกิจสักอย่างมันยังต้องอาศัยเวลาค่ะ ไม่สู้เรากอบโกยส่วนที่ควรจะเป็นของภูเอามาให้หมดค่อยทิ้งก็ไม่สายไม่ใช่เหรอคะ อีกอย่างธงพานิชย์ก็ยังขึ้นสูงได้อีก”
ภูธรไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ เพราะเขาต้องการแลกกับชีวิตแม่ของตัวเอง และไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับบ้านเน่า ๆ นั้นอีกแล้ว
“คุณไม่เชื่อว่าผมจะทำได้เหรออัย” ภูธรถามเธออย่างต้องการกำลังใจ แววตาวาดหวังอยากสร้างครอบครัวกับเธอฉายแววความเอาแต่ใจเล็ก ๆ ในดวงตาและนั่นทำให้อัยยาสังเกตเห็นถึงความโง่ของเขาแต่อัยยาจะไม่พูดออกมาเด็ดขาด หากจะเข้าไปคุมบังเ**ยนแทนผู้หญิงสองคนในธงพานิชย์เธอยังต้องมีเขาเป็นสะพาน
“อัยเชื่อค่ะ ไม่เคยเชื่อใครเท่าคุณอีกแล้ว แต่อัยอยากให้เราอยู่ในธงพานิชย์เพื่อหาคอนเนกชันสู่การจัดตั้งธุรกิจของเราต่างหาก ไม่ได้จะคิดใช้ธงพานิชย์เป็นฐานที่มั่นตลอดไป”
ภูธรคิดตามเรื่องนี้มันก็ใช่ แต่ดูเหมือนเขาไร้จริยธรรมมากไปหน่อย แต่เรื่องอะไรต้องมีความรู้สึกผิดชอบในเมื่อคนในธงพานิชย์ใช้งานเขาเหมือนทาสคนหนึ่งไม่ใช่ลูกหลาน ดังนั้นเชื่ออัยก็ไม่ได้ผิดอะไร
“แต่เรื่องเลิกกันอาจจะมีปัญหานะครับ”
“เราช่วยกันต้องสำเร็จแน่ค่ะ อัยรอได้ภูไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” อัยยาวางแผนในใจก่อนจะคิดว่าจะทำอะไรต่อไป ขอแค่ภูธรยังอยู่ในธงพานิชย์อะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เธอมั่นใจนอกจากจะกุมหัวใจภูธรได้แล้วยังจะกุมบังเ**ยนธงพานิชย์ได้อีกด้วย
ภูธรยิ้มบาง ๆ ให้กับอัยยาจากนั้นไปส่งเธอที่คอนโดแต่เขาไม่ขึ้นไปด้วยเพราะช่วงนี้ยังไม่เหมาะสมจริง ๆ และไม่อยากให้ชื่อเสียงของอัยยาเสียหาย เขาจะทะนุถนอมเธอให้ดีที่สุด
ธารมิกาจับตาดูสองคนนั้นที่ดูเหมือนเป็นความสัมพันธ์ที่ต่างคนต่างยังไว้ตัว ยังไม่ได้ทำอะไรที่เกินเลยไปดังนั้นเธอยังไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการที่เขานอกกายเธอให้สังคมได้รู้ทำให้รู้สึกเจ็บใจอยู่เล็ก ๆ แต่ไม่เป็นไรเรื่องแบบนี้ต้องค่อย ๆ ดูกันไป
“ธารจะให้คนตามภูธรต่อไหม” พฤกดนัยถาม เพราะว่ามนชิดาใช้คนของเขาในการตามสืบสองคนนี้
“ตามต่อค่ะ” หากไม่ตามเธอก็ไม่รู้ความเคลื่อนไหว
“ไปนอนที่บ้านพี่ไหมล่ะหรือจะกลับบ้านหลังเก่า”พฤก ดนัยอยากให้คนที่เหมือนน้องสาวอีกคนออกมาจากบ้านนั้นเสีย เพราะภูธรเข้านอกออกในง่ายและหวั่นกลัวว่าหากเขย่าประสาทเขาไปเรื่อย ๆ แล้วสักวันหนึ่งเขาเกิดทนไม่ได้ทำร้ายร่างกายเธอจะแย่เอา
“ไม่เป็นไรค่ะพี่พฤก ธารรู้ลิมิตดีค่ะ”
“พี่จะส่งคนของพี่เข้าไปอยู่ในบ้านด้วย” แน่นอนว่านอกจากมีสื่อรายใหญ่ของประเทศเป็นของตัวเอง เขายังเปิดโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ และมีครูในสังกัดอีกมากมาย หากมีอะไรจะได้ช่วยเหลือทัน
“เช่นนั้นก็ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ต้องอยู่ด้วยตลอดก็ได้ค่ะ”
“งั้นพี่จะให้คนไปดูเป็นระยะ หากมีอะไรก็กดปุ่มอันนี้ มันจะแจ้งไปยังคนของพี่ใกล้ ๆ และจะเข้าไปช่วยเหลือทัน” สร้อยสีเงินเส้นเล็กแต่ติดระบบติดตามตัวและสัญญาเตือนเอาไว้ด้วยมันไม่มีไฟทำให้หากตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ ย่อมไม่ทำให้คนร้ายสังเกตหรือรู้ว่าเครื่องนี้จะตามตัวเธอได้
ธารมิการับมาพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นไหว้ขอบคุณก่อนจะโบกมือลากันที่หน้าบ้าน เธอใส่สร้อยนี้ติดตัวเอาไว้ เพราะมันสวยและมีดีไซน์ที่ดี
ด้านภูธรกลับถึงบ้านด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาที่จะไปทานอาหารแต่วันนี้มีเรื่องจนไม่ได้แตะอาหารเลยสักนิด จนมานั่งในห้องรับแขกที่แม่ของเขานั่งดูทีวีอยู่
“ภูกลับแล้วเหรอลูก ทานอะไรมาหรือยัง” สุดาถามลูกชายอย่างเป็นห่วง เพราะใบหน้าอิดโรยเหมือนเจองานหนักหรือเรื่องหนัก ๆ มาทำให้ยกมือลูบใบหน้าของลูกชาย แต่ทว่าคนตัวใหญ่กลับหนุนตักมารดาผู้ให้กำเนิดอย่างต้องการจะอ้อน คล้ายกับเด็กที่ยังไม่รู้จักโตสักที
“แม่ครับ...ผมเหนื่อยจัง” ภูธรหลับตานิ่งนอนหนุนตักแม่ ที่เมื่อก่อนไม่เคยได้ทำ แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วได้ทำอย่างที่อยากทำมาตั้งแต่จำความได้
“เหนื่อยก็พักสักหน่อยไหมลูก แม่เห็นข่าวที่บริษัทของพวกเขากำลังไปได้ดี หากลูกวางมือก็จะได้พักนะ” สุดาไม่อยากให้ลูกชายเกี่ยวข้องกับบ้านนั้นอีก
“แม่ครับ หากผมอยากแต่งงานกับอัยยาแม่จะว่าอะไรไหมครับ”
คำถามนี้ทำเอาสุดาหนักใจ อัยยาผู้หญิงที่ลูกชายเคยรักเคยชอบกลับมาหาแล้วสินะ แต่เมื่อนึกถึงหนูธารสุดากลับเสียดายอย่างบอกไม่ถูก เธอชอบหนูธารมากและอยากให้ภูธรได้เป็นครอบครัวเดียวกับหนูธาร แต่ว่าลูกชายกลับบอกว่าไม่รักหนูธารเธอเองก็ปวดใจทั้งสงสารเรื่องที่ผ่านมา ธารมิกาเจ็บมาไม่น้อย
“แม่อยากให้ลูกชั่งใจ และตัดสินใจให้ดี การเอาชนะไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไปหรอกลูก ลองถามใจตัวเองดี ๆ ว่ากับหนูธารไม่ได้รักจริง ๆ หรือเปล่า” ช่วงนี้สุดาฝันเห็นเด็กผู้ชายน่ารักน่าเอ็นดูกับเด็กผู้หญิงอีกคนที่ใบหน้าเศร้าสร้อย สุดาสงสารอยากจะอุ้มแต่เด็กผู้หญิงก็หายไป กลัวเหลือเกินว่าหลานกำลังจะมาแต่เพราะพ่อแม่มีทิฐิสูงจนเป็นอันตราย
“แม่ครับ ตอนแต่งผมก็จำใจแต่งนะครับ”
“แล้วหนูอัยยารับได้ไหมถ้ารู้ว่าลูกไม่ใช่ลูกของคุณหญิง”
คำถามนี้กระแทกใจภูธรอย่างจัง เขาใจร้อนไปจริง ๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยหากจะตกลงอยู่ด้วยกันจริง ๆ ก็คงต้องคุยให้ชัดเจนหากเธอรับไม่ได้เขาก็จะอยู่เป็นโสดไปตลอด และคิดว่าชีวิตนี้คงรักใครไม่ได้อีก
“ผมยังไม่ได้บอกเลยครับ” ภูธรพูดเสียงอ่อย แต่คิดว่าตัวเองเลือกไม่ผิด
“ภูอย่าลืมนะลูก วันที่ลูกบอกอยากจะเดินออกจากบ้านธงพานิชย์และต้องการเลิก เป็นธารมิกาที่บอกว่ายังไงก็จะไม่เลิก แม้เขารู้ว่าลูกไม่ใช่ลูกของคุณหญิงสกุลทิพย์ และแม่กังวลว่าหากหนูธารท้อง...”
“แม่ครับเธอจะท้องได้ยังไง ผมอยู่ด้วยกันมาสามปีแล้วนะครับท้องเธอยังแบนเรียบ แม่กังวลเกินไป”
สุดาถอนหายใจ ใช่เธออาจจะกังวลเกินไปจริง ๆ แต่พรุ่งนี้เธอตั้งใจจะไปหาหนูธารอยากปรับความเข้าใจกับหนูธารสักหน่อย และอยากขอโทษในเรื่องที่ผ่านมา
เช้ารุ่งขึ้นหลังจากทำอาหารเสร็จแล้วสุดาจึงนำอาหารใส่กล่องแล้วก็เรียกแท็กซี่ที่หน้าบ้านไปยังบ้านของธารมิกาวันนี้เป็นวันเสาร์รถไม่ติดใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีก็ถึงแล้ว เธอลงจากรถแล้วมองที่หน้าบ้านแต่เมื่อจะกดกริ่งกลับเห็นแม่บ้านที่เคยมาทำความสะอาดบ้านอยู่ด้านหน้าจึงเรียกให้มาเปิดประตู
“หนูธารอยู่ไหมฉันมาหา”
“อยู่ค่ะ นอนพักอยู่ในห้องรับแขก” แม่บ้านเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยกันดีจึงเปิดให้เข้ามา และเมื่อสุดาเดินเข้าไปถึงด้านในพลันได้ยินเสียงอาเจียนอยู่ในห้องน้ำทำให้เธอเอามือทาบอกอุทานออกมา
“หนูธาร!”