เวนิกาถูกปรินธรพาตัวมาโรงพยาบาลเอกชนอย่างเร่งรีบ สีหน้าเขาฉายชัดถึงความวิตกกังวล ดูประสับกระส่ายจนเธอใจคอไม่ดีตามไปด้วย
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เธอนึกสงสัยและเกิดคำถามมาตลอดทาง แต่คนที่พอจะให้คำตอบเธอได้กลับทิ้งกันไปดื้อๆ ทันทีที่ถึงจุดหมาย ปรินธรเดินตามหมอหนุ่มคนหนึ่งที่วิ่งมาเรียกเขาอย่างร้อนใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะหายไปด้วยกันโดยไม่ฟังเสียงเรียกของเธอ ปล่อยให้เวนิกายืนงงๆ ทำอะไรไม่ถูกอยู่คนเดียว
หญิงสาวถอนหายใจยืนรอเขาอยู่นานก็ไม่เห็นวี่แววจะกลับมา จึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้พลางชะเง้อคอมองเขาไปพลางๆ เธอรอจนเมื่อย นานมากจนเกือบจะเคลิ้มหลับ ผู้ชายหล่อเหลาแต่สีหน้ามืดมนจึงเดินกลับมาหาเธออีกครั้งพร้อมแพทย์หนุ่มที่เธอเห็น
“นี่หมอภคินเพื่อนผมเอง เดี๋ยวเขาจะพาคุณไปตรวจร่างกาย” ปรินธรเอ่ยพร้อมกับดันหลังเธอให้เดินตามพยาบาลไป
แต่เวนิกาขืนตัวไว้
“ต้องเดี๋ยวนี้เลยเหรอคะ” เธอมองหน้าเพื่อนเขาแล้วเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีบางอย่างผุดขึ้นในใจ สายตาภคินมองเธอเหมือนกำลังชำแหละเศษซากชิ้นเนื้ออย่างไรพิกล ถ้าเลือกได้เธอไม่อยากไปกับเขา หรืออย่างน้อยก็อยากให้ปรินธรไปเป็นเพื่อนกันสักหน่อย
“ไม่ต้องกลัวนะ ตรวจแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว” ชายหนุ่มตบหลังมือเธอเบาๆ ยิ้มบางๆ ให้อย่างอบอุ่น ก่อนจะเอ่ยฝากฝังกับเพื่อนว่า “ฝากดูแลเธอด้วยนะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง “ภคินตบบ่าเพื่อนสนิท
เวนิกายังอยากจะถามอะไรอีกสองสามคำ แต่ถูกปรินธรตัดบทด้วยการพยักหน้าสั่งให้นางพยาบาลพาตัวเธอเข้าห้องตรวจ ดวงตาแหลมคมมองตามแผ่นหลังเพรียวบางไปด้วยรู้สึกหลากหลาย แต่เด่นชัดที่สุดคือ...ความรู้สึกผิด
ปรินธรได้แต่หวังลึกๆ ว่าหากเวนิการู้เรื่องนี้ เยื่อใยที่มีต่อกันคงจะพอทำให้เธอยกโทษให้เขาได้
ภายในห้องตรวจเวนิกามองทุกอย่างรอบตัวด้วยความหวาดระแวง รู้สึกไม่ค่อยดีนักเมื่อภคินบอกขั้นตอนการตรวจร่างกายของเธอ มีหลายข้อดูแปลกๆ ชวนให้ตงิดใจซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเธอเลย นอกจากวัดความดันชั่งน้ำหนักและตรวจเลือดแล้ว เธอยังต้องเอกซเรย์ปอดและตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้าด้วย กว่าจะเสร็จก็กินเวลานานพอสมควรเลยทีเดียว
“ระหว่างที่รอผลตรวจ คุณไปพักที่ห้องพักรับรองก่อนก็ได้นะครับ รอนมันน่าจะอยู่ที่นั่นแหละ”
“ค่ะ” เวนิกาพยักหน้าแล้วเดินตรงไปยังทางระเบียงตามที่ภคินบอก เอเร่งฝีเท้าเพราะอยากเจอเขาเร็วๆ จะได้บอกเล่าถึงความสงสัยในใจให้ปรินธรรับฟัง แต่น่าผิดหวังที่เธอพบแค่นางพยาบาลคนหนึ่ง ส่วนตัวเขาหายไปไหนก็ไม่รู้ จึงเอ่ยรั้งและออกปากถามนางพยาบาลคนนั้นว่า
“ไม่ทราบว่าคุณปรินธรไปไหนคะ”
นางพยาบาลเห็นดาราสาวคนดังก็ตื่นเต้นดีใจ รีบตอบกลับว่า
“คุณปรินธรไปเยี่ยมคู่หมั้นที่หอผู้ป่วยพิเศษค่ะ”
“คู่หมั้น?” เวนิกาอึ้งตะลึงจนเผลอขมวดคิ้ว แต่ยังเก็บอาการได้ดีไม่ให้คู่สนทนาล่วงรู้ “ไม่ทราบว่าเธอป่วยเป็นอะไรเหรอคะ”
“คุณวรรณวรินป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียค่ะ อาการค่อนข้างน่าเป็นห่วง ต้องเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกโดยเร็วที่สุดค่ะ แต่เห็นคุณหมอภคินกับคุณปรินธรคุยกันว่า โชคดีที่เจอคนที่มีกรุ๊ปเลือดและไขกระดูกที่เข้ากันได้กับเธอแล้ว น่าจะผ่าตัดได้ในเร็วๆ นี้ เอ๊ะ! หรือว่าคุณเวย์คือคนที่จะบริจาคไขกระดูกให้คุณวรรณวรินคะ คุณเวย์นี่สมกับเป็นนางเอกตัวจริง ทั้งสวยทั้งใจดีน่าชื่นชมมากๆ เลยค่ะ”
เวนิกาไม่รู้ว่าฝืนยิ้มรับคำชมได้อย่างไร ทั้งที่ตัวเธอชาวาบแข็งทื่อจนไร้ความรู้สึก หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นตอนที่ได้ยินว่าเขาใช้เธอเป็น ‘เหยื่อ’ เพื่อต่อลมหายใจให้กับคู่หมั้นสุดที่รัก เขาเห็นว่าชีวิตของหล่อนมีค่าเป็นดังแก้วตาดวงใจของเขา
แล้วชีวิตเธอล่ะ...ไม่มีค่าเลยรึไง?