โปรดแค่ไหน...คุณก็ไม่รัก ตอนที่2
“อาภาคย์” หญิงสาวเรียกชื่อชายเจ้าของร่มเสียงเบา สั่นเครือ สายตาเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนสงสัยเมื่อเห็นบุคคลตรงหน้า ด้วยไม่คาดคิดว่าจะเจอเขาในเวลานี้ อาภาคย์ หรือคุณหมอพุฒิภาคย์ ศาตนันท์ อาหนุ่มผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์มากล้นของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอ ปรากฏกายต่อหน้าเธอเวลานี้
ริมฝีปากหนายกยิ้มเล็กน้อยแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นให้แก่หญิงสาวที่เต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหว ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เขาเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เขาเลือกที่จะไม่แสดงตนออกมาตั้งแต่แรกเพราะเขาเกรงว่าจะทำให้เธอรู้สึกอับอายหากต้องรู้ว่าใครสักคนรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนและค่อนข้างเป็นส่วนตัว หากแต่เขาก็ไม่อาจอดทนมองเห็นเธอยืนร้องไห้ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักได้
“ขึ้นรถก่อน เดี๋ยวจะเป็นไข้” พุฒิภาคย์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าส่งสายตาอบอุ่น อ่อนโยนให้แก่หญิงสาว ก่อนถือวิสาสะโอบไหล่บางประคองเดินไปขึ้นรถคันหรูที่จอดอยู่นานแล้วหากแต่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็น
ผ้าขนหนูผืนขนาดกลางสีน้ำตาลอ่อนจากกระเป๋าออกกำลังกายแบรนด์ดังที่วางอยู่เบาะหลังรถถูกหยิบส่งให้แก่หญิงสาวที่เนื้อตัวเปียกปอน
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าตาและเรือนผมของตัวเอง เสียงสะอื้นหายไปแล้วแต่นัยน์ตายังแดงก่ำบวมช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก พุฒิภาคย์มองหญิงสาวข้างกายอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันไปปรับเครื่องปรับอากาศภายในรถให้อบอุ่นขึ้น
“หิวไหม อยากดื่มอะไรร้อนๆ หรือเปล่า” หล่อนเม้มปากเล็กน้อยเหมือนใช้ความคิด ตั้งแต่เที่ยงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยด้วยซ้ำนอกจากน้ำเปล่าในห้องอาหารเมื่อค่ำเท่านั้น แต่อีกใจเธอก็ไม่มีจิตใจที่จะทานอะไร อยากกลับไปนอนร้องไห้บนเตียงนุ่มๆ ในห้องนอนของเธอมากกว่าแต่เสี้ยววินาทีนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่า เธอจะกลับบ้านให้พ่อกับแม่เห็นเธอในสภาพเสมือนนกน้อยปีกหักแบบนี้ได้อย่างไร ท่าทีของหญิงสาวทำให้คุณหมอหนุ่มมองเห็นและเดาความคิดของเธอออกจึงเอ่ยชวนเธอ
“กินข้าวต้มร้อนๆ สักถ้วยดีกว่านะ แวะทานก่อนกลับจะได้สดชื่น”
“ค่ะ” หล่อนรับคำเสียงเบา จนเขาแทบจะไม่ได้ยิน
“บ้านของคุณอยู่แถวไหนผมจะได้ไปส่ง” หญิงสาวนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ มือเล็กบีบหากันอย่างใช้ความคิด
“คุณอาภาคย์ส่งเฟย์ที่โรงแรมใกล้ๆ นี่ก็ได้ค่ะ” อีกอย่างเธอไม่อยากรบกวนหรือเจอใครในเวลาแบบนี้
“โรงแรม? ทำไมคุณต้องนอนโรงแรม” เขาพอจะคาดการณ์ทุกอย่างได้ แต่เขาแค่อยากจะมั่นใจเท่านั้นถึงได้ถามย้ำกลับไป
“เฟย์เพิ่งเลิกกับแฟนค่ะ เฟย์ยังไม่อยากให้ที่บ้านเจอเฟย์สภาพนี้” พุฒิภาคย์นิ่งคิดชั่วครู่ เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย อีกอย่างไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าบ้านของเธออยู่ที่ไหน บ้านของเธอที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของตระกูลเขามากนัก หากแต่เขาเลือกที่จะนิ่งเฉยในเมื่อเธอยังไม่ได้เอ่ยถึง และยังไม่อยากกลับไปบ้านให้ครอบครัวต้องเป็นห่วงเขาก็เข้าใจดี
“งั้นคุณไปนอนที่บ้านผมก่อนแล้วกัน นอนโรงแรมคนเดียวสภาพแบบนี้ผมว่าไม่ค่อยดี...คุณตกลงไหม” ชายหนุ่มหันมาถามซ้ำเขาไม่อยากตัดสินใจให้เธอโดยไม่ถามความคิดเห็น
“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” หล่อนตอบตกลงเขาอย่างไม่คิดอะไรซับซ้อนอะไรให้มากความอีกอย่างเขาก็เป็นอาของเพื่อนสนิทเธอเอง ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่เธอต้องกังวล และตอนนี้เธอเองก็เหนื่อยล้ามากพอแล้ว ร่างกายอ่อนไหวเกินกว่าจะคิดอะไรมากมายรวมไปถึงความเหมาะสมหรืออันตราย หากคิดไปถึงการที่จะต้องไปนอนค้างอ้างแรมที่บ้านกับเขา
คอนโดหรูบนอาคารสูงหนึ่งในธุรกิจครอบครัวของเขาอยู่ไม่ไกลมากนัก ด้วยเวลาเลยเที่ยงคืนรถบนท้องถนนก็มีน้อย จึงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที พุฒิภาคย์ขับรถเข้ามาจอดยังชั้นส่วนตัวที่มีแต่รถของคนในตระกูลเขาเท่านั้นที่จะจอดชั้นนี้ได้ ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนเสื้อไว้เพียงแค่ศอกแบบง่ายๆ เพราะเลยเวลางานของเขานานแล้ว เปิดกระโปรงหลังรถหยิบกระเป๋าทำงานที่ทำจากหนังอย่างดีกับข้าวของอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินอ้อมไปยังประตูข้างคนขับเปิดออกกว้างให้แก่หญิงสาวที่ยังคงนั่งซึมไม่พูดไม่จามาตลอดทางตั้งแต่ออกจากรั้วโรงพยาบาล สายตาของเธอยังมองเหม่อไปที่มือถือเครื่องหรูที่ตนเองกำไว้แน่น คล้ายกับเฝ้ารอข้อความหรือสายเรียกเข้าของใครสักคน
“ลงจากรถเองไหวมั่ย”
“ไหวค่ะ” หล่อนตอบรับเสียงเบาเช่นเคย ก่อนจะก้าวเท้าลงจากรถ รอให้เขาปิดประตูล็อกรถจนเรียบร้อยดี ถึงก้าวตามเข้าไปอย่างเงียบๆ
ประตูลิฟต์ส่วนตัวที่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยยืนรออยู่กดลิฟต์อยู่หน้าประตู ก้มโค้งให้กับผู้เป็นนายเล็กน้อย รอไม่ถึงนาทีประตูลิฟต์ก็เปิดกว้างให้ทั้งสองคนก้าวเข้าไป ตลอดหลายนาทีที่หญิงสาวเอาแต่ก้มมองมือถือ กว่าจะรู้สึกตัวก็ถูกมือใหญ่จับคว้าข้อมือเธอให้ก้าวเดินตามออกจากลิฟต์เข้ามายังห้องพักของเขา เมื่อหญิงสาวกวาดตามองโดยรอบถึงได้รู้ว่าบ้านพักของเขาที่ว่า มันคือเพนท์เฮาส์ สุดหรูของเขานั่นเอง
พุฒิภาคย์หยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่ส่งให้แก่หญิงสาวที่กำลังยืนเคว้งคล้ายกับทำตัวไม่ถูก อยู่กลางห้องของเขา
“เช็ดตัวก่อนมั่ย หรือคุณจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ก็ดีนะ ใส่ชุดเปียกชื้นนานๆ จะไม่ดี”
“อาบน้ำก็ดีค่ะ” หล่อนอ้อมแอ้มตอบ
“งั้นคุณอาบน้ำเปลี่ยนชุดในห้องนี้แล้วกัน” เขาเดินนำเธอขึ้นมายังชั้นสองซึ่งมีห้องนอนขนาดใหญ่สองห้อง ให้หญิงสาวอาบน้ำในห้องนอนอีกห้องที่อยู่ติดกับห้องของเขา
นาฬิริณทร์ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย เสื้อผ้าชุดใหม่เป็นเสื้อยืดตัวโคร่งสีดำกับกางเกงผ้านิ่มเนื้อดีขายาวที่กองอยู่ตรงพื้นเมื่ออยู่บนร่างกายเธอจนต้องพับขึ้นอีกเยอะเพราะขนาดส่วนสูงที่ต่างกันค่อนข้างมาก หญิงสาวเดินมาหาชายหนุ่มเจ้าของเพนท์เฮาส์หรูที่กำลังง่วนอยู่ตรงหน้าเตา กับการทำข้าวต้มทรงเครื่อง หล่อนยืนมองเขาด้วยอาการเก้ๆ กังๆ ใช้มือขยับเลนส์แว่นหลายครั้งรู้สึกประดักประเดิด ทำตัวไม่ถูก เคอะเขินอยู่ไม่น้อย หลายนาทีกว่าเขาจะหันมาเห็นเธอ
“ขอโทษด้วยนะผมไม่มีเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงติดอยู่ในห้องเลย คุณใส่สบายมั้ย” สายตาคู่คมจ้องมองการแต่งกายของหญิงสาวตรงหน้าอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้ เสื้อผ้าของเขาดูตัวใหญ่มากเมื่อเทียบกับร่างเล็กๆ ของเจ้าหล่อน
“ค่ะ ขอบคุณนะคะอาภาคย์”
“ทานข้าวต้มเครื่องนะผมทำเสร็จละ ซดร้อนๆ จะได้คล่องคอ” ร่างสูงกล่าวขณะหยิบจับจานชามที่อยู่ในตู้ ตักข้าวต้มเครื่องที่กำลังร้อนๆ ควันฉุยเหนือชาม ยกมาวางบนโต๊ะอาหารให้เธอ
“คุณไม่ทานหรอคะ” หล่อนถามอย่างแปลกใจ แต่เมื่อเห็นเขาตักใส่ชามและยกมาวางนั่งเก้าอี้ตรงข้ามเธอก็เป็นคำตอบได้อย่างดี
“รีบทานตอนร้อนๆ เสร็จแล้วคุณจะได้ทานยา กินกันเอาไว้ก่อน ผมเตรียมไว้ให้แล้ว”
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” หญิงสาวพนมมือไหว้ขอบคุณเขา รู้สึกขอบคุณเขาจากใจจริง หากเธอไม่เจอเขา ตอนนี้เธออาจจะเป็นลมหมดสติอยู่ตรงนั้น เพราะร้องไห้จนน้ำตาหมดตัวไปแล้วก็เป็นได้
“คุณมีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า” พุฒิภาคย์ถามขึ้นเมื่อเห็นอาการคล้ายลังเลเหมือนมีอะไรจะพูดจะถามแต่ก็คงจะไม่กล้า
“เอ่อ...ปกติคุณอา...เอ่อ...ไม่มีค่ะ ไม่มี”
“หึ...คุณกำลังสงสัยว่าผมอยู่กับใครหรือเปล่าน่ะเหรอ ผมอยู่คนเดียว ยังไม่มีใคร” หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็อดแปลกใจไม่ได้ เธอเคยรู้ว่าคุณอาของเพื่อนสนิทเธอคนนี้เคยมีคนรักแต่ก็เลิกรากันไปนานแล้ว แต่ก็คิดว่าอย่างน้อยเขาก็น่าจะใครสักคนคบหาและอาศัยอยู่กับเขา ด้วยเพราะอายุที่ค่อนข้างมากแล้ว อายุสามสิบแปดสำหรับเธอก็ถือว่าโตมากทีเดียว
“ส่วนผู้หญิงที่ผมเคยพามาในห้องนี้ ส่วนใหญ่ผมไม่เคยให้ใครค้าง และไม่มีใครทิ้งข้าวของไว้เพราะผมให้แม่บ้านเก็บทิ้งหมด ผมไม่ชอบให้มีของของคนอื่นเก็บไว้ในห้องน่ะ” เจ้าของห้องขยายความให้เธอเพิ่มเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวก็นึกเดาความคิดได้อยู่ อายุขนาดเขาจะไม่มีผู้หญิงเลยก็คงจะดูแปลกอยู่ไม่น้อย ไม่ผิดที่เธอจะสงสัย
“อ่อค่ะ” นาฬิริณทร์พยักหน้ารับรู้กับการบอกกล่าวของเขา ชายโสดหน้าตาดี ฐานะดี เพียบพร้อมขนาดนี้แต่ยังคงครองตัวเป็นโสด แต่ก็ไม่ได้เปล่าเปลี่ยวเดียวดายเพราะเขาก็ยังมีใครพบผ่านมาบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก
พุฒิภาคย์มองหญิงสาวตรงหน้าผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของหลานสาวด้วยสายตาครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์กดหาหมายเลขที่คุ้นเคย รอเพียงไม่นานปลายสายก็กดรับกรอกเสียงสดใสกลับมาทันที
‘คิดถึงจังค่ะอาภาคย์’
“อยู่ไหน บ้านหรือคอนโด” เขาถามทันทีด้วยความเคยชิน เพราะปกติถ้าเคเซียไม่อยู่บ้านก็จะพักอยู่ที่คอนโดซึ่งก็มีอยู่หลายที่ หนึ่งในนั้นก็คือที่แห่งนี้หากแต่อยู่ชั้นด้านล่างถัดจากชั้นของเขา ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสีหน้าของคู่สนทนาเวลานี้
‘อยู่บ้านสิคะ แล้วอาล่ะอยู่ไหน’
“อาอยู่คอนโด ตอนนี้อาอยู่กับเพื่อนของเซียล”
‘เพื่อนเซียล? ใครคะ?’ ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม แต่ยื่นโทรศัพท์ให้กลับหญิงสาวตรงหน้าเพื่อเป็นคนพูดสายและตอบคำถามแทนเขา และปล่อยให้ทั้งคู่ได้สนทนากันอย่างเป็นส่วนตัว ส่วนเขาก็แยกตัวลุกเดินไปเก็บชามที่ทานเสร็จแล้วเช็ดล่างจนสะอาดเรียบร้อย จึงไปนั่งเล่นรออยู่ตรงชุดรับแขกที่ทำจากหนังแท้สีขาวยังโซนรับแขก รอจนเธอใช้โทรศัพท์ของเขาพูดคุยจนเสร็จจึงหยิบมาส่งคืนให้เขา ใบหน้าที่ก่อนหน้านี้เหือดแห้งไปแล้วเวลานี้กลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ที่เจ้าตัวต้องหยิบแว่นสายตามาเช็ดเพราะภาพที่เริ่มพร่ามัว
“คุณไปนอนพักเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว” หญิงสาวรับคำเสียงเบาก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังห้องนอนที่เขาให้เธอพักคืนนี้ ทว่าขณะที่เธอกำลังเดินขึ้นบันไดกลับขึ้นห้องกลับมีเสียงจามดังขึ้นติดๆ อย่างที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด นอกจากพิษรักแล้วที่เธอต้องพ่ายแพ้ในค่ำคืนนี้ยังมีพิษไข้ที่รุมเร้าต่อร่างกายบอบบางนั่นอีก