ตึก ตึก ตึก!
เสียงส้นสูงดังสะท้อนพื้นซีเมนต์เป็นจังหวะ ดึงสายตาของลูกน้องหลายคนให้หันมามองเป็นตาเดียว บางคนถึงกับกลืนน้ำลาย เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดเดรสขาวสะอาดแต่โอบรัดเรือนร่างได้อย่างเร่าร้อน
เว่ยหลงที่กำลังคุยงานอยู่เงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย สายตาคมกริบเย็นเยียบฉายประกายไม่พอใจทันทีที่เห็นคนตรงหน้า
“เธอ…” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยช้า ๆ แฝงแรงกดดัน
“ตามมาที่นี่ทำไม”
หญิงสาวยกมุมปากยิ้มบาง ๆ ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“ก็เมื่อคืน…คุณเดินหนีฉันไป ฉันเลยอยากทวงคำตอบ”
“คำตอบ?” เว่ยหลงหัวเราะในลำคอ แววตาดุดันกวาดมองร่างบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“หรือยังไม่เข้าใจ… ผู้หญิงแบบเธอ ไม่ใช่สเป็กฉัน และไม่มีค่าพอจะมาให้ทวงอะไรทั้งนั้น”
คำพูดเย็นชาแทงเข้ากลางอก แต่แทนที่น้ำหอมจะถอย เธอกลับก้าวเข้าใกล้อีกก้าว กลิ่นหอมหวานเจือกลิ่นกายผู้หญิงแตะปลายจมูกเขา
“ถ้าไม่ใช่สเป็ก…”
เธอกระซิบเสียงหวานพร่า ดวงตาคู่สวยสบตาเขาไม่กะพริบ
“…แล้วทำไมต้องรับฉันไว้เมื่อคืน ทำไมไม่ปล่อยให้ล้มหน้าคลับไปเลยล่ะคะ”
เว่ยหลงชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนกลับมาสวมท่าทีเย็นชาอีกครั้ง
“ฉันไม่ปล่อยให้ ลูกค้าของคลับ ตายต่อหน้าหรอก มันเสียภาพลักษณ์”
น้ำหอมหลุดหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่ดวงตาแดงก่ำ
“อ๋อ… แปลว่าฉันมีค่าแค่ทำให้คลับคุณไม่เสียชื่อสินะคะ”
เธอก้าวเข้ามาอีกจนแทบชิดอกกว้าง ริมฝีปากยกยิ้มร้ายกาจ
“งั้นวันนี้…ลองให้ฉันมีค่าในฐานะอื่นดูบ้างไหมคะ คุณเว่ยหลง”
ลูกน้องหลายคนถึงกับเบิกตากว้าง บรรยากาศตึงเครียดจนแทบหายใจไม่ออก
ชายหนุ่มกดสายตาคมกริบลงมองเธอ แววตาเย็นชาแต่แฝงประกายบางอย่างที่เขาเองก็ไม่อยากยอมรับว่ามีอยู่
“เธอนี่มัน…ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริง ๆ” เขาพูดเสียงต่ำ ก่อนจะหันหลังกลับอย่างไม่อยากเสียเวลา
แต่ประโยคถัดมาของน้ำหอม ทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ
“ก็เพราะฉันถูกเหยียบต่ำมาทั้งชีวิตไงคะ… ถึงได้อยากปีนขึ้นสูงบ้าง”
คนตัวสูงเม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรต่อ เขาหันหลังเดินตรงไปยังรถ SUV สีดำสนิทที่จอดอยู่ใกล้ ๆ ร่างสูงสง่างามแผ่รังสีเย็นชาจนใคร ๆ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้
ลูกน้องที่ยืนรออยู่รีบก้าวไปเปิดประตูด้านหลังให้เจ้านายอย่างนอบน้อม
และในจังหวะนั้นเอง
ตึก ตึก!
เสียงส้นสูงดัง เร็วและหนักแน่น ร่างเพรียวในเดรสขาวก็ก้าวพรวดเข้ามาแทรกกลาง
แล้ว ปึง! ทิ้งตัวลงไปนั่งในเบาะหนังหรูอย่างถือวิสาสะ
“เฮ้ย!” ลูกน้องอุทานตาโต ไม่กล้าแม้แต่จะดึงเธอออก
เว่ยหลงชะงักทันที ดวงตาคมหันกลับมากดมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
น้ำหอมไขว่ห้างอย่างสง่างาม ริมฝีปากแดงสดคลี่ยิ้มยั่วเย้า
“ขอบคุณที่เปิดประตูให้นะคะ… ฉันกำลังรอคนขับพอดีเลย”
“ลงจากรถ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยช้า แต่กดดันจนบรรยากาศหนักอึ้ง
“ไม่ลงค่ะ”
เธอตอบกลับสั้น ๆ พลางเอนตัวพิงเบาะหรูราวกับเป็นของตัวเอง
“ก็เมื่อคืน…คุณไม่ยอมไปส่ง วันนี้ฉันเลยมาตามคุณถึงที่ไงคะ”
เว่ยหลงหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นต่ำและเย็นจนลูกน้องขนลุกไปตาม ๆ กัน
“ผู้หญิงแบบเธอนี่…ไม่รู้จักกลัวจริง ๆ”
น้ำหอมเอียงคอเล็กน้อย สบตาคมคู่นั้นอย่างตรงไปตรงมา
“ก็เพราะชีวิตฉันเหลือให้เสียไม่กี่อย่างแล้วค่ะ… เลยไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
คำพูดนั้นทำให้เว่ยหลงชะงักไปเสี้ยววินาที แต่เขาก็รีบกลับมาสวมท่าทีเย็นชาเหมือนเดิม
“เธอไม่รู้เลยว่ากำลังเล่นกับไฟ…” เขาก้มลงมองเธอ แววตาเต็มไปด้วยแรงกดดัน “และไฟของฉัน มันเผาคนตายได้จริง ๆ”
น้ำหอมยกยิ้มบาง ๆ ริมฝีปากกระซิบตอบเบา ๆ แต่ชัดถ้อยชัดคำ
“ก็ดีสิคะ… อย่างน้อยฉันก็จะตายในอ้อมแขนคุณ”
ทันใดนั้นเอง
ปัง!
เสียงประตูปิด ก้องไปทั้งคัน เว่ยหลงขึ้นมานั่งฝั่งคนขับ สีหน้ายังคงเย็นชาไม่ต่างจากเหล็กกล้า
“เธอไม่ลงใช่ไหม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น พลางสอดกุญแจเสียบเครื่องยนต์
น้ำหอมเอนกายพิงเบาะหนังแทนคำตอบ ริมฝีปากแดงสดยกยิ้มยียวน
“บอกแล้วไงคะ ว่าอยากให้คุณไปส่ง”
บรืนนนน...!
เสียงเครื่องยนต์คำรามดังขึ้น เว่ยหลงไม่พูดอะไรอีก กดคันเร่งพารถออกไปทันที
ตลอดทาง บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความเงียบกดดัน มีเพียงเสียงเพลงเบา ๆ จากวิทยุที่ไม่อาจกลบแรงปะทะระหว่างสายตาของทั้งคู่
น้ำหอมเอียงหน้า มองไปยังเสี้ยวหน้าคมเข้มของมาเฟียหนุ่มที่กำลังจับพวงมาลัยอย่างแน่นหนา แสงแดดยามสายทอดกระทบกรอบหน้าและสันกรามชัดเจน
“คุณนี่เย็นชาจริง ๆ เลยนะคะ” เธอเอ่ยแซวเสียงหวาน
“ผู้หญิงตั้งกี่คนในคลับเมื่อคืนมองคุณตาเป็นมัน แต่คุณกลับไม่สนใจสักคน”
เว่ยหลงตอบโดยไม่หันมามอง “เพราะฉันไม่ชอบ ของตื้นเขิน”
น้ำหอมหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเป็นประกาย “อ๋อ… งั้นคุณคงมองว่าฉันก็เป็นของตื้นเขินสินะ”
เขาหันมาสบตาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับไปที่ถนน ดวงตาคมกริบฉายแววท้าทาย
“เธอ…อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่านั้น”
น้ำหอมไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย กลับโน้มตัวเข้าใกล้จนกลิ่นน้ำหอมอวลไปทั่วห้องโดยสาร
“ถ้าเลวร้าย…ก็ลองทำความรู้จักสิคะ เผื่อคุณจะติดใจ”
เว่ยหลงหัวเราะหึในลำคอ เสียงนั้นต่ำลึกเหมือนคำขู่
“ติดใจ? …ฉันไม่เล่นกับไฟหรอก”
หญิงสาวยิ้มหวาน ริมฝีปากกระซิบชิดหูเขา
“แต่ฉันสิคะ…อยากเล่นกับไฟ”
รถทั้งคันเหมือนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศเร่าร้อนปนตรึงเครียด เกมอันตรายที่ไม่มีใครยอมถอย
เขาขับรถออกจากเต้นท์ได้ไม่นาน เว่ยหลงหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง ทำให้รถหรูจอดสนิทอย่างกะทันหัน
ร่างสูงในชุดเชิ้ตสีเข้มขยับตัวเล็กน้อย ก่อนหันมามองเธอด้วยแววตานิ่งเรียบ
“ลงไป” เขาพูดสั้น ๆ
“ผมไม่ว่างจะไปส่ง ผมต้องไปทำงาน”
คำพูดเย็นชาเหมือนถูกสาดน้ำแข็งเข้าหน้า แต่แทนที่น้ำหอมจะเจ็บ เธอกลับหัวเราะเบา ๆ ริมฝีปากแดงสดยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“งั้น…” เธอหันมาสบตาคมดุอย่างไม่เกรงกลัว
“ฉันจะไปทำงานกับคุณค่ะ”
เว่ยหลงขมวดคิ้วทันที “เธอพูดอะไรนะ”
น้ำหอมเอนกายพิงเบาะ ยกขาไขว่ห้างอย่างท้าทาย แววตาเป็นประกายดื้อรั้น
“คุณไม่อยากไปส่งฉันใช่ไหม? ก็ดีเลย… ฉันจะนั่งรถไปกับคุณ อยู่กับคุณ ทำงานกับคุณไปทั้งวัน”
เว่ยหลงหัวเราะในลำคอ เสียงต่ำเย็นจนคนฟังขนลุก
“ผู้หญิงอย่างเธอ…ไม่รู้จริง ๆ ใช่ไหมว่ากำลังเล่นกับใคร”
น้ำหอมเอียงคอเล็กน้อย ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มเย้ายวน
“รู้ค่ะ… ฉันกำลังเล่นกับไฟ”
บรรยากาศในรถเงียบกริบราวกับอากาศถูกกดทับ เว่ยหลงกดมองเธอด้วยแววตาคมเข้มที่ไม่อาจอ่านออกได้ว่าคือโกรธหรือสนใจ แต่สุดท้าย เขากลับบิดกุญแจสตาร์ทรถอีกครั้ง พารถแล่นออกไปบนถนนโดยไม่พูดอะไรต่อ