5. ทวงคืน /1

1776 คำ
หลันถิงเดินมาหยุดที่หน้าประตูข้างของจวนสกุลจ้าวที่บัดนี้มันปิดอยู่ คาดว่ามันคงลงกลอนเอาไว้ด้วยกระมัง “ฮูหยินจะเข้าไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ” “อยากเห็นอะไรดีดีก็ต้องเข้าไป ทว่าทางนี้คงเข้าไม่ได้แล้วกระมัง” เอ่ยจบนางก็เดินเลี่ยงออกไปตามเส้นทาง จนกระทั่งมาถึงประตูด้านหน้าของจวน ด้วยความที่อยู่แต่เรือนไม่ออกไปไหนตามคำของสามี เหอหลันถิงผู้โง่งมจึงไม่รู้ว่าจวนใหม่นี้มันใหญ่โตเพียงใด แค่เห็นทางเข้านางก็ยิ้มเยาะตนเองแล้ว… “หึ! ความโง่ของเจ้ามันมากมายนักหลันถิง” “ฮูหยิน ก่นว่าตนเองทำไมเจ้าคะ” ความไม่ประสาของสาวใช้เอ่ยถามพร้อมกับเอียงใบหน้ามองด้วยความฉงน หลันถิงทำเพียงแค่หันมายิ้มอ่อนให้เท่านั้น ก่อนจะตั้งท่าเดินขึ้นไป ทว่ายามหน้าประตูกลับไม่ยอมให้ผ่าน “พวกเจ้าเป็นใคร มาที่นี่ทำไม” “ข้ามาหาประมุขจวนสกุลจ้าว ไปบอกเขาว่าเหอหลันถิง ต้องการพบ หากไม่ออกมาก็ไปเจอกันที่ศาล” ยามทั้งสองหันมองหน้ากันทันทีก่อนจะตอบกลับเสียงห้วน “พวกเจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร ถึงกล้าเอ่ยวาจาสามหาวกับใต้เท้าจ้าวเช่นนี้ คิดว่าอยากพบก็จะพบได้ง่าย ๆ กระนั้นหรือ” ยามนายหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้หน้าสตรีทั้งสองอย่างเอาเรื่อง “เจ้านั่นแหละสามหาว คนที่เจ้าชี้หน้าอยู่ยามนี้คือฮูหยินของใต้เท้าจ้าวรู้หรือไม่” ลี่อันเอ่ยบอกเสียงดัง “ฮ่าฮ่า ฮูหยินหรือ จะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน นายท่านยังไม่เคยแต่งฮูหยิน เขามีแค่อนุที่ป่วยเป็นโรค ต้องรักษาตัวอยู่แต่ในเรือนเท่านั้น” ยามหนุ่มยังกล่าวในสิ่งที่ตนเคยได้ยิน “หึหึ… ข้าหรืออนุ!...” ริมฝีปากอิ่มยิ้มหยันตนเองอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยกับยามหนุ่มด้วยเสียงเรียบ “ไปตามนายของเจ้ามา บอกเขาว่าอนุนามว่าเหอหลันถิงต้องการพบ” “อะไรของเจ้า ประเดี๋ยวก็บอกเป็นฮูหยิน ประเดี๋ยวก็บอกว่าเป็นอนุ ตกลงมันยังไงกันแน่” ยามหน้าประตูยังคงเสียงแข็ง เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าเปลี่ยนคำพูดกลับไปกลับมา “ข้าจะเป็นใครก็ช่าง เจ้าแค่บอกเขาว่าเหอหลันถิงมาก็พอ” ยามทั้งสองหันมองหน้ากันก่อนจะตอบเสียงห้วนเหมือนเคย “ได้! เช่นนั้นพวกเจ้าก็รออยู่ตรงนี้ ห้ามก้าวเข้ามาด้านในเด็ดขาด เจ้าเฝ้าพวกนางให้ดี” ยามผู้ทำหน้าที่เอ่ยแล้วก็หมุนตัวเดินเข้าด้านใน “ถอยออกไปยืนตรงนั้น อย่ามาเกะกะขวางหน้าจวน” ยามที่เหลือยังคงมีท่าทางเหยียดหยันทั้งสอง หลันถิงก็ไม่ได้กล่าวอันใด หญิงสาวทำเพียงแค่ขยับถอยออกมา ทว่าดวงตาสวยก็ยังคงมองสำรวจเข้าไปด้านใน เห็นแค่นี้ยังรู้ว่ามันโอ่อ่าเลย ‘นึกไม่ถึงว่าจ้าวเสวี่ยอี้จะกล้าทำกับข้าถึงเพียงนี้’ นางครุ่นคิดอย่างแค้นใจ ทว่าไม่นานนักดวงตาแข็งกร้าวก็อ่อนลง เมื่อเห็นร่างสูงของสามีก้าวเดินตรงมาหาอย่างเร่งรีบ “หลันถิง... เจ้ามาได้อย่างไร” สีหน้าท่าทางจ้าวเสวี่ยอี้ดูตื่นตระหนกไม่น้อย เขารีบยื่นมือออกมาหมายจะกุมมือนาง ทว่าภรรยาตัวน้อยกลับถดหนีไม่ใยดี… “ข้าแค่อยากมาให้เห็นกับตาว่าเจ้าเอาสมบัติของข้ามาทำสิ่งใดบ้าง หึ! มีจวนใหญ่โต แต่ให้ข้าอยู่… อื้อ” ปากอิ่มถูกปิด จากนั้นจ้าวเสวี่ยอี้ก็รั้งนางหมายจะพาเข้าไปคุยกันด้านใน ทว่าเพียงแค่เขาประชิดตัว เข่าน้อย ๆ ก็กระแทกใส่กลางเป้าเสียแล้ว “อึก!... ละ… หลันถิง ไยเจ้า” ใบหน้าคมคายบิดเบี้ยวทันที “นี่มันยังน้อยไปหากเทียบกับสิ่งที่ท่านทำกับข้า” สิ้นคำนางก็เดินเข้าไปในจวน โดยมีร่างสูงของสามีเอี้ยวตัวมองตามอย่างไม่เข้าใจ ครั้นจะตามไป ร่างกายมันกลับไม่เอื้ออำนวยเลย ด้านหลันถิง… นางเดินดุ่มเข้ามาด้านใน โดยมีลี่อันประกบด้วยท่าทางหวาดระแวง มันก็ไม่แปลกที่นางจะเป็นเช่นนี้ เพราะคนสนิทของหลันถิงต่างก็ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้ามา ตอนรับอาหารก็ต้องยืนอยู่ที่ข้างกำแพงจวน บางครานั่งรอเป็นชั่วยามเลยก็มี หลันถิงกวาดตามองไปรอบจวนอันโอ่อ่านี้ก่อนจะขบกรามแน่น มันช่างต่างจากเรือนเล็กที่นางอยู่ราวฟ้ากับเหว “เหอหลันถิง เจ้าช่างโง่เขลายิ่งนัก” นึกถึงคราใดหญิงสาวก็อดตำหนิตนเองไม่ได้เสียที นี่สินะที่เขาเรียกว่า ความรักทำให้คนตาบอด ทว่านับจากนี้มันต้องเป็นผู้อื่นมากกว่าที่ควรจะตาบอด “เหอหลันถิง เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร เราบอกแล้วมิใช่หรือว่าดวงชะตาเจ้าจะทำให้เสวี่ยเอ๋อร์เดือดร้อน ไยไม่อยู่แต่ในเรือนให้ดีดี” เสียงมารดาของสามีรีบเอ่ยทันทีที่ร่างอรชรก้าวเข้ามา “ทำไมข้าจะมาไม่ได้ ในเมื่อจวนนี้ใช้เงินข้าซื้อ” “คะ… ใครบอกเจ้ากัน นี่คือเงินเก็บจากน้ำพักน้ำแรงของเสวี่ยเอ๋อร์ทั้งนั้น เขาไม่ได้ใช้เงินของเจ้าแม้แต่น้อย เจ้าอย่าได้พูดออกไปเชียวนะ” จ้าวฮูหยินรีบตำหนิ ทว่าน้ำเสียงกลับแผ่วลง หลันถิงยกยิ้มพร้อมกับจ้องหน้ามารดาสามี ก่อนจะเอ่ย “หากจวนนี้ไม่ได้ใช้เงินของข้าซื้อ เช่นนั้นท่านแม่จะบอกว่าเงินเดือนขุนนางระดับเจ็ด สามารถเก็บเงินซื้อจวนหลังโตและยังมีของตบแต่งราคาแพงประดับอยู่ทั่วทั้งจวนได้กระนั้นหรือ หากเอ่ยเช่นนี้กับผู้อื่น ข้าเกรงแต่ว่าคนจะเข้าใจผิด คิดว่าท่านพี่โกงบ้านกินเมืองเอาได้นะเจ้าคะ มิเช่นนั้นจะเก็บเงินได้เร็วถึงเพียงนี้หรือ ทั้งที่พึ่งรับราชการยังไม่ทันถึงสองปีแท้ ๆ” สิ้นคำนางก็หันไปมองสามีที่กำลังถูกประคองเข้ามา หลันถิงเผยยิ้มหยันบุรุษที่เคยใช้หมอนกดนางจนตาย จากนั้นก็เดินมานั่งรินชาดื่มเหมือนไม่มีอะไร “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไป” “นางเตะนายท่านขอรับ” คนสนิทจ้าวเสวี่ยอี้รีบรายงาน “หา! เจ้าว่าผู้ใดทำเสวี่ยเอ๋อร์ของข้า” สองสามีภรรยาตวาดใส่คนสนิทของบุตรชายเสียงดัง ก่อนจะหันมาที่สะใภ้เป็นตาเดียว ทว่าสิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือเสียงเรียบเย็นชาของเหอหลันถิง “ใช่! ข้าเป็นคนทำเขาเอง แล้วจะบอกให้นะ นี่มันยังน้อยไป อันที่จริงข้าควรทำให้เขามีทายาทไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” แววตานางไร้ซึ่งการหยอกล้อ ทำเอาสามพ่อแม่ลูกถึงกับนิ่งงัน เมื่อได้เห็นท่าทางจริงจังของสะใภ้ที่แต่ก่อนมีแต่เชื่อฟัง พูดจาอ่อนน้อมทุกคำ ทว่าบัดนี้กลับมีท่าทางแข็งกร้าวราวกับเป็นคนละคน จ้าวเสวี่ยอี้มองภรรยาของตนอย่างไม่เข้าใจ เพราะปกตินางว่านอนสอนง่าย บอกอะไรก็ทำตามไม่มีข้อสงสัย แต่สิ่งที่เขาเห็นในยามนี้กลับตรงกันข้ามทุกอย่าง นางดูก้าวร้าวและรู้มากเสียด้วย “หลันถิงเจ้าอย่าได้เอ่ยไปเรื่อย หากบ่าวไพร่ได้ยินจะเอาไปนินทามันจะไม่ดีรู้หรือไม่” เสวี่ยอี้รีบเตือน ก่อนจะสูดลมหายใจลึก พร้อมกันนั้นก็ใช้สายตามองภรรยาอย่างเว้าวอนเหมือนที่เคยทำ หลันถิงมองเขานิ่ง ริมฝีปากเผยยิ้มเล็กน้อยราวกับเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ทว่าในดวงตากลับเย็นชาเสียจนเสวี่ยอี้รู้สึกอึดอัด ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามเดินเข้ามานั่งข้างนางและยังรั้งมือไปกุมเอาไว้ “ที่พี่ไม่อาจพาเจ้าเข้าจวนได้ในยามนี้เป็นเพราะเหตุใด เจ้าเองก็รู้มิใช่หรือ พี่ไม่เคยคิดอยากผลักไสเจ้าให้ห่างตัวเลยนะ ทว่ามันจำเป็นจริง ๆ เราจึงต้องแยกกันอยู่ไปก่อน” เขาหยุดดูท่าทางนาง เมื่อเห็นภรรยาไม่ว่าอันใดก็เอ่ยต่อ “เจ้าจำได้หรือไม่เมื่อครึ่งปีก่อน พี่ถูกใส่ร้ายหาว่าร่วมมือกันฉ้อโกงร้านค้าในเมือง ดีที่มีขุนนางผู้ใหญ่ช่วยเอาไว้จึงรอดพ้นวิกฤตมาได้ ถึงกระนั้นพี่ก็ยังต้องระมัดระวังตัว ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ต้องรอบคอบ เพราะไม่รู้ใครดี ไม่รู้ใครหวังร้าย พี่จึงอยากสร้างฐานอำนาจให้มั่นคงเสียก่อน ภายหน้าเจ้าจะได้ไม่ถูกผู้อื่นเหยียดหยามไปด้วย พี่คิดเช่นนี้จริง ๆ นะหลันถิง” เสียงเขาขาดหายไป แววตาเศร้าหม่นลงราวกับกำลังทุกข์ใจ เหมือนกับว่าสิ่งที่เขากำลังจะเอ่ยต่อจากนี้มันทำให้หนักใจมากกว่าเมื่อครู่ “อีกอย่าง... ดวงชะตาของเจ้าก็…” “ดวงชะตาของข้า?” นางทวนคำ ริมฝีปากยกมุมขึ้นหนึ่งข้าง ดวงตาจับจ้องผู้เป็นสามีอย่างเย็นชา “ดวงชะตาของข้าทำไมหรือ?” แม้จะรู้อยู่แก่ใจ ทว่าหลันถิงก็ยังเอ่ยถามเพื่อดูว่าเขาจะว่าเช่นไร เสวี่ยอี้ลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจเบา ๆ “เจ้าคงไม่ได้ลืมไปแล้วกระมัง นับตั้งแต่ปีที่แล้วดวงชะตาของเจ้ามันก็ขัดต่อหน้าที่การงานของพี่ หากอยู่ใกล้กันก็เป็นต้องเกิดเหตุเกิดเรื่อง พี่จึงจำต้องให้เจ้าอยู่เรือนนอกไปก่อน” ใช่… สิ่งที่เสวี่ยอี้กล่าวมามันถูกต้อง ในตอนที่ทุกคนย้ายมาอยู่ที่นี่ มีเพียงนางที่ไม่ได้เข้าจวน เพราะคำทำนายจากซินแสที่มารดาสามีเชิญให้มาดูพื้นที่ได้กล่าวเอาไว้ ยามนั้นนางเชื่อสนิทใจ ด้วยว่ารักที่มีให้จ้าวเสวี่ยอี้นั้นมากล้น ทว่านางยอมแล้วได้อะไรกลับคืนบ้าง… “ท่านกำลังจะบอกว่า ข้าคือต้นเหตุที่ทำให้หน้าที่การงานของท่านไม่ราบรื่น ดังนั้นท่านจึงต้องผลักไสข้าไปอยู่เรือนนอก เพื่อปัดเป่าเคราะห์ร้ายให้ท่านกับครอบครัวกระนั้นหรือ…” ภายในห้องโถงใหญ่เงียบลงทันตา…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม