บทที่ 5
สู่ขอ
บนดวงหน้าหวานและแววตาฉาบฉายไปด้วยความรู้สึกฉงนสงสัย ว่าเหตุใดคนใหญ่คนโตเช่นนี้จึงบุกรุกเข้ามาในห้องนอนของตน หรือเป็นเพราะข่าวลือในช่วงนี้กัน?
“ท่านแม่ทัพ มาด้วยเรื่องข่าวลือหรือเจ้าคะ?”
“...อืม”
“ขะ ข่าวลือนั่น ข้าไม่...”
“ข้าจะสู่ขอเจ้า”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ ...เจ้าคะ!?” ฟางจื่อลู่มิทันฟังให้ดี สิ่งที่นางได้ยินทำเอาไม่อยากเชื่อหูตนเอง หากทว่าดูเหมือนว่ามิใช่แค่นางที่ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่หมินจิ้นไฉยังอ้าปากค้าง มองอันเนี่ยนเจินด้วยสายตาประหลาดใจเช่นกัน
จริงอยู่ว่าที่ตัดสินใจลักลอบเข้ามาที่นี่เพื่อมาหาฟางจื่อลู่ก็คิดว่าอันเนี่ยนเจินมีแผนดีๆ ในการกลบข่าวลือเสียหายนั่น หากแต่มิได้มีการพูดคุยกันก่อนแต่อย่างใด
ว่าแต่... สู่ขอหรือ! อันเนี่ยนเจินผู้นั้นน่ะหรือ แค่เข้าใกล้ผู้คนก็แทบเก็บสีหน้าไม่อยู่แล้ว เหตุใดจึงเอ่ยว่าจะสู่ขอฟางจื่อลู่ที่เพิ่งเจอหน้ากันก็หนนี้เป็นหนที่สอง
“สะ สู่ขอหรือขอรับ ท่านหมายถึง... การแต่งงาน?”
“อืม การสู่ขอมีความหมายอื่นด้วยหรือ?” เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามกับหมินจิ้นไฉ
แต่ไม่ทันที่รองแม่ทัพผู้นั้นจะเอ่ยตอบสิ่งใดให้เกิดความขุ่นเคืองใจอันเนี่ยนเจิน ฟางจื่อลู่ก็ได้เอ่ยขัดขึ้นมาอย่างเสียมิได้
“เอ่อ ขออภัยเจ้าค่ะที่ขัดจังหวะ หากแต่ข้าสู่ขอนี่หมายถึงสู่ขอข้าหรือเจ้าคะ?”
“หากมิใช่เจ้าแล้วจะเป็นหมาแมวที่ไหน หืม?”
คิ้วดกเข้มขมวดเข้าหากนเล็กน้อย ฟางจื่อลู่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นและมองว่าบุรุษเริ่มไม่พอใจที่นางเอ่ยถามเช่นนี้ ทว่านางเพียงแต่ต้องการความแน่ใจ มิใช่เข้าใจผิดไปเองแต่เพียงผู้เดียว
“เอ่อ... ขออภัยเจ้าค่ะ แต่... มีเหตุผลอันใดหรือเจ้าคะ?”
“ยามนี้เจ้าและข้ามีข่าวลือเสียหาย แม้จะแก้ข่าวหากแต่ย่อมมีผู้ที่เชื่อกับไม่เชื่อ”
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดานี่เจ้าคะ ผู้คนมักเชื่อในสิ่งที่ตนเองอยากเชื่อกันอยู่แล้ว...”
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยเล็กน้อย เนื่องจากสถานการณ์ในยามนี้ แทบไม่มีผู้ใดที่เชื่อนางเลย เว้นเสียแต่ครอบครัวของนางเอง
“นี่จึงเป็นหนทางที่ดีสำหรับเจ้าและข้า”
“ดีเช่นไรหรือเจ้าคะ?”
“ข้าไม่ต้องการแต่งงานกับอิสตรีที่ปรารถนาความรักจากข้า ยามนี้อายุของข้าสมควรแต่งงานแล้ว การแต่งงานกับเจ้าจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับข้าในยามนี้”
ฟางจื่อลู่เข้าใจในความต้องการของบุรุษ เนื่องจากอันเนี่ยนเจินเป็นวีรบุรุษแห่งสงคราม ไม่มีทางที่อิสตรีมากมายจะไม่เหลียวแล หากแต่บุรุษนั้นปฏิเสธอิสตรีทุกผู้คน จนเกิดข่าวลือว่ามีรสนิยมทางเพศที่แตกต่างไปจากปกติ
“ส่วนเจ้า... จะได้กลบข่าวลือที่ว่าแอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับข้า”
“กลบข่าวลือเช่นไรเจ้าคะ?”
“ข้าจะกระจายข่าวลือว่าข้าหลงรักเจ้า จึงตามเกี้ยวเจ้า เพียงแค่นั้นผู้คนก็มิกล้าให้ร้ายเจ้า ผู้ที่ข้าชื่นชอบแล้ว”
จริงตามที่อันเนี่ยนเจินกล่าวมาทั้งหมด ทว่า...
“ข้าขอคิดดูก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
“มีสิ่งใดให้คิดอีกกัน หากปล่อยไว้เช่นนี้ เจ้าคงมิได้แต่งงาน”
“แต่หากแต่งงานไปแล้วไม่มีความสุข จะต่างสิ่งใดไปจากขุมนรกกันเจ้าคะ”
“เจ้าคิดว่ากการแต่งงานกับข้ามันย่ำแย่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“หามิได้เจ้าค่ะ ตัวจื่อลู่มิได้มียศสูงใหญ่ จึงไม่เคยนึกถึงการแต่งานโดยไร้ความรัก หรือที่ชนชั้นสูงพูดกันติดปากว่าการแต่งงานทางการเมือง ข้าจึงเฝ้าฝันถึงการแต่งงานกับบุรุษที่ข้ารักเจ้าค่ะ มิได้หมายความว่าการแต่งงานกับท่านไม่ดี เพียงแต่...”
อันเนี่ยนเจินได้แต่จ้องมองสตรีตัวน้อยตรงหน้า แววตานั้นช่างยากที่จะอ่านความหมายได้ บุรุษได้แต่รับฟังโดยมิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกไป
“มันเดิมพันด้วยความสุขของข้า ข้าจึงอยากคิดให้ดีอีกสักหน่อย ได้โปรดเข้าใจข้าด้วยนะเจ้าคะ”
“ข้าให้เวลาเจ้าถึงยามเว่ย[1]วันพรุ่งนี้”
“แต่ว่า...”
“เรื่องเช่นนี้ช้าไป ย่อมไม่เกิดผลดีให้กับผู้ใด”
ฟางจื่อลู่เข้าใจจึงมิได้เอ่ยสิ่งใดออกไป อันเนี่ยนเจินเห็นว่าฟางจื่อลู่เข้าใจดีแล้ว ถือว่านางยังฉลาด มีไหวพริบ อย่างน้อยคู่แต่งงานขงตนก็มิได้โง่เขลาเบาปัญญาเท่านี้ก็เพียงพแล้ว
อันเนี่ยนเจินและหมินจิ้นไฉลักลอบออกไป ฟางจื่อลู่ก็กลับมานอนบนเตียง ในคืนนั้นนางนึกคิดถึงถ้อยคำของอันเนี่ยนเจินตลอดทั้งคืน...
รุ่งเช้าวันต่อมา
เสียงเพลงของนกน้อยขับขานในยามเช้า เป็นเสียงปลุกฟางจื่อลู่ในทุกวัน หากแต่ยามนี้สตรีตัวน้อยยังคงนอนหลับ สาวใช้ที่เข้ามาเวลาเดิมเมื่อเห็นว่าเจ้านายยังไม่ตื่นก็มิได้รบกวน ค่อยๆ ออกไปอย่างเงียบเชียบ
เนื่องจากยามนี้ข่าวลือเกี่ยวกับคุณหนูของเธอนั้นเลวร้ายเกินรับไหว หาว่าฟางจื่อลู่เสียพรหมจรรย์ก่อนแต่งงาน สำหรับอิสตรีในยุคนี้ซึ่งหวงแหนพรหมจรรย์ยิ่งว่าสิ่งใดแล้ว ช่างเป็นคำกล่าวแสนร้ายกาจเสียจริง สาวใช้จึงคิดว่าเจ้านายของตนเองจะต้องเศร้าเสียใจมากเป็นแน่
...ข้านำชาที่ช่วยให้ผ่อนคลายมาให้คุณหนูดีกว่า...
“หลันเทียน”
ยามนั้นเองเสียงหนึ่งได้เรียกรั้งนางเอาไว้ เป็นคุณหนูใหญ่ฟางหวงลู่นั่นเอง หลันเทียนหันมาโค้งกายคำนับผู้มีศักดิ์สูงกว่าอย่างนอบน้อม แล้วรอฟังสิ่งที่ฟางหวงลู่จะเอ่ย
“ลูลู่ล่ะ?”
“คุณหนูเล็กยังไม่ตื่นเลยเจ้าค่ะ”
ได้ยินดังนั้นฟางหวงลู่ก็มีสีหน้าเศร้าสร้อยขึ้นมา ข่าวลือยามนี้ร้ายแรงสำหรับฟางจื่ลู่มากจริงๆ ผู้คนต่างเชื่อข่าวลือกันหมด ครั้นก่อนหน้ายังเอ็นดูนางกันอยู่เลย จิตใจของผู้คนยากแท้หยั่งถึงเหลือคณานับ
ยามนั้นเองบริวารผู้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาทางฟางหวงลู่และหลันเทียน นางโค้งกายคำนับฟางหวงลู่ก่อนจะเอ่ยธุระกับหลันเทียนด้วยความเร่งรีบ
“คุณหนูเล็กอยู่ที่ใด?”
“ยามนี้จิตใจของคุณหนูของข้าบอบช้ำนัก เจ้าถามหาด้วยเรื่องอันใด?”
“มีจดหมายมาจากจวนสกุลอัน ว่าจะเข้ามาเยี่ยมเยือน และขอพบเจอกับคุณหนูเล็กเป็นการส่วนตัว!”
[1][1] ยามเว่ย = 13:00-14:59