บทที่ 4
ผู้บุกรุก
“เป็นเพราะสตรีนางนั้นหรือ เจ้าจึงปฏิเสธข้ามาตลอด?”
“...?”
อันเนี่ยนเจินมิได้เอ่ยสิ่งใดออกไป เนื่องจากบุรุษไม่เข้าใจในสิ่งที่องค์หญิงสามผู้นี้เอ่ยเลยแม้แต่น้อย
“หากเจ้าไม่ตอบ ข้าจะคิดว่าใช่” แม้ใบหน้าจะยังคงยิ้มแย้ม หากแต่น้ำเสียงนั้นดุดันขึ้น อันเนี่ยนเจินยกยิ้มมุมปากแต่มิได้เอ่ยสิ่งใดออกไป
“หากไม่มีสิ่งใดแล้ว...” อันเนี่ยนเจินยอบกายคำนับ ก่อนจะเดินออกไปทันที
...สตรีหรือ ตัวข้าไปข้องเกี่ยวกับสตรีนางใดกัน มีแต่องค์หญิงที่พยายามเข้าหาข้า ไม่สิ เดี๋ยวก่อน เหมือนจะมีข่าวลือแว่วมาเกี่ยวกับข้าและสตรีสกุลหนึ่ง...
“จิ้นไฉ”
“ขอรับ”
“เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือเกี่ยวกับตัวข้าว่าเช่นไร?”
“อ่า... “ เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้หมินจิ้นไฉหน้าสลดไปเล็กน้อย เนื่องจากจะแก้ไขข่าวลือให้กับผู้บริสุทธิ์มิได้แล้ว ยังกลายเป็นสร้างความเดือดร้อนให้กับอันเนี่ยนเจินอีกต่างหาก แม้บุรุษจะไม่นึกสนใจข่าวลือนั่นเลยก็ตาม “มีข่าวลือว่าท่านแม่ทัพใช้ข้าเป็นสะพานเพื่อสานสัมพันธ์กับคุณหนูเล็กสกุลฟางขอรับ”
“อืม เช่นนั้น...” เงียบไปครู่หนึ่งเพื่อใช้ความคิด ดวงตาเต็มไปด้วยความนึกคิดและความรู้สึกมากมายฉายอยู่ในนั้น ทว่ามิอาจมีผู้ใดรับรู้ได้ กระทั่ง... “เรียกนางมาเข้าพบอย่างลับๆ”
“ขอรับ เอ่อ หากข่าวแพร่งพรายออกไป...!”
“เจ้าคงมิได้ไร้ฝีมือเช่นนั้น? หากเป็นเช่นนั้นตำแหน่งรองแม่ทัพนี่คงต้องหาผู้เหมาะสมคนใหม่”
“ขอรับ? เอ่อ รับบัญชาขอรับ”
“ไม่สิ! เดี๋ยวข้าไปหานางเอง”
...นี่คงมิได้คิดลักพาตัวนางใช่หรือไม่ขอรับ ท่านแม่ทัพ!!...
หมินจิ้นไฉนึกคิดในใจ แม้ว่าหมินจิ้นไฉจะอ่านแววตาและสีหน้าของอันเนี่ยนเจินได้ดีมากกว่าผู้ใด หากแต่ในยามนี้มิอาจคาดเดาได้จริงๆ
ก็... ไม่เคยมีหนใดที่อันเนี่ยนเจินให้เรียกอิสตรี หรือพาอิสตรีใดมาหาเลยนี่!!
หากมีสิ่งใดทำให้องค์หญิงสามพิโรธและเลิกสนใจตนไปได้ ไม่ว่าอย่างไรอันเนี่ยนเจินก็ยอมแลก การข้องเกี่ยวกับผู้คนโดยเฉพาะอิสตรี สำหรับอันเนี่ยนเจินแล้วมันช่างวุ่นวายเหลือเกิน
ในค่ำคืนนั้นเอง ณ จวนสกุลฟาง
เป็นเรื่องง่ายสำหรับทหารที่เคยไปออกรบมาแล้ว ในการลอบเข้ามาในจวนพ่อค้าซึ่งมีการคุ้มกันค่อนข้างหละหลวมหากเทียบกับจวนของขุนนาง หากแต่มองในระดับความสัมพันธ์แล้ว จะมีผู้ใดโจมตีจวนของพ่อค้าผู้นี้กัน หากมีก็คงเป็นโจรธรรมดา เช่นนั้นการคุ้มกันแค่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
บุรุษในชุดดำมืดลักลอบเข้ามาในห้องของอิสตรีได้อย่างง่ายดาย บุรุษปีนอยู่ที่ขอบหน้าต่างจ้องมองสตรีตัวน้อย ที่เริ่มขยับกายเนื่องจากลมเย็นพัดผ่านเข้ามาจากหน้าต่างกระทบผิวกาย
ดวงตาคู่งามราวกับดวงดาราบนท้องนภาค่อยๆ เปิดออก ในแวบแรกนางเห็นบุรุษในชุดดำอยู่ตรงหน้าต่างห้องของนาง จึงเตรียมที่จะกรีดร้อง หากแต่เมื่อกระพริบตาในยามต่อมากลับไม่พบร่องรอยของผู้ใด
ฟางจื่อลู่อกสั่นขวัญเสีย อย่างไรนางก็หวาดกลัวอยู่ดี ไม่แน่ว่าผู้ร้ายอาจจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้องนอนของนางก็เป็นได้
เนื่องจากฟางจื่อลู่ไม่ชินกับอากาศเย็นในตอนกลางคืนอีกทั้งยังมีแมลงเยอะ นางจึงมักปิดหน้าต่างเสมอ บริวารเองก็รู้ดีว่านางหวาดกลัวแมลงแทบทุกชนิด จึงไม่มีทางที่หน้าต่างห้องของนางจะถูกเปิดเอาไว้กว้างเสียขนาดนี้
นึกคิดได้ดังนั้นจึงก้าวเท้าถอย เตรียมที่จะวิ่งออกไปจากห้องเพื่อขอความช่วยเหลือจากด้านนอก หากแต่เมื่อก้าวถอยหลังไปเพียงสองก้าวเท่านั้น แผ่นหลังของฟางจื่อลู่ก็ปะทะกับแผงอกกว้างของคนผู้หนึ่ง พร้อมทั้งยื่นฝ่ามือมาอุดปากของนางเอาไว้แน่น
“อื้อ!”
“ชู่ว! ใจเย็นๆ ก่อนคุณหนู ข้ามิได้มาร้าย” บุรุษเอ่ยโดยไม่คำนึงถึงสภาพของตนเองในยามนี้เลยแม้แต่น้อย
มองเช่นไรก็ไม่ต่างไปจากโจรสวาทลักลอบเข้าห้องนอนของอิสตรีที่ยังมิได้แต่งงาน นางยังไม่มีพิธีปักปิ่นเสียด้วยซ้ำ!
“อื้อๆ”
“ต้องขออภัยจริงๆ ที่ทำให้เจ้าต้องตกใจ เรามาคุยกันก่อนดีหรือไม่?”
ฟางจื่อลู่นิ่ง หากแต่นางมิได้ตอบรับ บุรุษรู้ดีว่าหากตนปล่อยมือที่ปิดปากออกนางต้องกรี๊ดออกมาเป็นแน่ แม้จะเอ่ยว่ามิได้มาร้าย หากแต่จำเป็นต้องข่มขู่นางบ้างเล็กน้อย
“หากเจ้าร้อง มีหวังผู้คนได้คิดว่าเจ้ากับข้ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันเป็นแน่ บุรุษและอิสตรีภายในห้องนอนสองต่อสองเช่นนี้ ผู้คนมิอาจคิดเป็นอื่นไปได้”
ได้ยินดังนั้น ฟางจื่อลู่จึงจำยอมต้องพยักหน้าตกลง...
“เอาล่ะ ข้าขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ” บุรุษถอยออกห่างฟางจื่อลู่เล็กน้อย เพื่อมิให้นางรู้สึกว่าตนจะคุกคาม ก่อนจะเอ่ยต่อว่า... “ข้ามีนามว่า หมินจิ้นไฉ รองแม่ทัพในสังกัดของราชวงศ์ขอรับ”
...หมินจิ้นไฉ!...
ไม่มีทางที่ฟางจื่อลู่จะไม่รู้จักคนผู้นี้ ผู้ที่เข้าร่วมสงครามแล้วนำชัยชนะอันยิ่งใหญ่กลับมาเมื่หลายปีก่อน และถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วแต่ความจริงที่ว่าเป็นผู้กอบกู้แผ่นดินนั้นมิได้จางหายไป
“คำนับเจ้าค่ะ ท่านรองแม่ทัพ” นางเอ่ยพลางยอบกายอย่างนอบน้อม เนื่องจากอีกฝ่ายมีสถานะสูงมาก ฟางจื่อลู่เป็นเพียงบุตรธิดาของพ่อค้า
“มิต้องมากพิธี เพียงแต่ข้ามีเรื่องอยากขอร้องเจ้า”
“เรื่องอันใดหรือเจ้าคะ?”
“เรื่องเร่งด่วนมาก ข้าจึงเร่งรีบมาในยามวิกาลเช่นนี้ ต้องขออภัยเจ้าด้วย”
“อ่า ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ฟางจื่อลู่โบกมือปัดอย่างไม่ถือสา
เนื่องจากนางพอได้ยินข่าวลือมาว่าหมินจิ้นไฉผู้นี้ ปรากฏตัวเพื่อที่จะช่วยแก้ข่าวให้นาง หากแต่ท่านพ่อของนางมิไม่อนุญาติให้เข้าพบนาง ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม นางจึงรู้สึกขอบคุณอยู่บ้าง
ยามนั้นเองหน้าต่างห้องของนางก็ถูกเงามืดบางอย่างเข้าครองงำจนแสงจันทร์มิอาจส่องผ่านเข้ามาได้ ด้วยความแปลกใจจึงหันหลังไปเพื่อมองดุ หากแต่สิ่งที่นางเห็นนั้นกลับเป็น...
“อันเนี่ยนเจิน!!”
ใช่แล้ว บุรุษร่างกำยำโผล่เข้ามาในห้องของนางอีกผู้หนึ่ง กลายเป็นว่าทั้งด้านหน้าและด้านหลังของนางถูกบุรุษสองผู้คนล้อมรอบ
ดวงตาเย็นชาคู่นั้นจ้องมองนางนิ่ง เล่นเอาฟางจื่อลู่ขนลุกซึ่และก้าวถอยอกมาด้วยท่าทางเสียมารยาท ซึ่งนั่นเป็นท่าทางที่ผู้คนมักกระทำเมื่อเห็นบุรุษตนเขาเคยชินไปเสียแล้ว
“อย่าได้หวาดกลัวไปคุณหนูเล็ก ท่านนั้นคือ อันเนี่ยนเจินตามที่ท่านรู้จัก เป็นแม่ทัพสังกัดราชวงศ์ขอรับ” หมินจิ้นไฉเอ่ยแนะนำอันเนี่ยนเจินด้วยรอยยิ้มมิตรไมตรี
หากแต่คนถูกแนะนำยังคงตีหน้านิ่ง ไม่ยินดียินร้ายใดๆ อีกทั้งยังกวาดสายตามองฟางจื่อลู่ตั้งหัวจรดเท้าอย่างเสียมารยาทอีกต่างหาก
“คะ คำนับเจ้าค่ะ” สตรีตัวน้อยย่อบกอบคำนับอย่างนอบน้อมอีกครา แม้จะรู้สึกอับอายที่อยู่ในสภาพนี้ก็ตาม หากแต่นางถูกบุรุษสองผู้คนบุกรุกเข้ามาในห้องในยามวิกาล จึงตกอยู่ในสภาพไม่น่าดูเช่นนี้