ตอนที่ 13
ปกป้อง
ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด รอบด้านมีเพียงความเงียบ เงียบและเงียบ ไร้ซึ่งสรรพสิ่งใดรอบด้านไม่มีแม้แต่สุรเสียงใดๆ เสียงที่ได้ยินชัดที่สุดคือลมหายใจของเธอเอง การะเกด ตระหนักได้ว่าเธอได้กลับมาสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง หญิงสาวพยายามเพ่งมองไปยังแสงสว่างอันน้อยนิดจากเปลวเทียนที่สาดส่องมาไกลๆ เธอลุกขึ้นยืนและเดินก้าวไปหาแสงที่แสงริบหรี่นั้น
จเร ยืนอยู่ตรงนั้นในมือถือเทียนอันเล็ก ตรงเอวเขามีปืนสั้นเหน็บไว้ ใบหน้าหล่อคมคร้ามเรียบเฉยดั่งฉาบไว้ด้วยน้ำแข็ง ทว่าดวงตาสีนิลเข้มรัตติกาลกลับสุกสกาวเจิดจ้าดั่งดวงตะวันยามเช้าเมื่อจ้องมองมาทางเธอ
ริมฝีปากหยักสวยยกยิ้มขึ้น พร้อมเอ่ยเสียงนุ่มเย็น
"ตื่นได้แล้วการะเกด"
"เฮือก!!"
ร่างบางสะดุ้งตื่นขึ้นทันที
ฝัน”....
เธอฝันไปรึนี่?
ไม่นะ เธอจำได้ว่าเธออยู่ที่ลานวังช้างแล้วมีการปะทะระหว่างบุรุษผู้หนึ่งกับจเร แล้วทำไมตอนนี้เธอมาอยู่ที่นี่? หญิงสาวมองรอบด้านพบว่าตัวเองนอนอยู่บนฟูกเตียงไม้ประดู่ขนาดใหญ่ ในบ้านไม้สักที่ไม่คุ้นชิน
ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ และไม่ใช่เรือนใหญ่ของพ่อครูไกรศร
เป็นที่ไหนกัน?
"ตื่นแล้วรึ?"
ร่างหนาของจเรเดินเข้ามาในห้อง เขาแต่งตัวด้วยเสื้อหม้อฮ่อมและกางเกงผ้าสีซีด ท่าทางของเขาดูสบายและแปลกตาจากทุกครั้งที่เคยเจอ
"....."
การะเกดมองเขาอย่างฉงน และแน่ใจว่าตัวตนเขาที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ เป็นร่างจริงไม่ใช่จิตร่างแทนเช่นดั่งทุกครั้ง
"ที่พำนักของข้าเอง"
เหมือน จเร จะล่วงรู้ความคิดของเธอ "ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อความปลอดภัย แต่ไม่อยากพาไปอยู่เรือนครอบ เพราะสถานที่นั้นไม่ปลอดภัยและมันจะดูดกลืนวิญญาณเจ้าได้หากอยู่นานๆ อีกทั้งพวกนั้นมันจะหาเจ้าเจอจากกลุ่มสัมภเวสีเหล่านั้น"
"ที่พำนักท่าน? อยู่ตรงไหนของจังหวัดสุรินทร์รึ?"
หญิงสาวชะโงกหน้ามองไปทางหน้าต่าง เห็นต้นไม้น้อยใหญ่รกครึ้มเดาว่าสถานที่นี้น่าจะอยู่กลางป่าดงดิบในที่ใดที่หนึ่งแน่นอน
"ชุมเสือไพรป่าพนมดงรัก"
ชุมเสือ!!!
ไม่นะ!!! ตระกูลของเธอถือว่ามีหน้าตาในจังหวัดสุรินทร์ ทั้งพ่อครูไกรสรเองมีผู้คนนับถือมีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วแถบอีสานใต้ ตระกูลของเธอไม่เคยข้องเกี่ยวกับพวกกองโจร แล้วนี่เขาพาเธอมาที่นี่ได้อย่างไร?
"กายหยาบของข้าพำนักอยู่ที่นี่ แล้วมันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ขณะขยับมาใกล้เอื้อมมือแตะยังหน้าผากบนของเธอเบาๆ
"....."
"หิวรึไม่?"
"คนพวกนั้นเป็นใครรึ? แล้วต้องการอะไรจากข้า" เธอเอ่ยถามอย่างที่ใจอยากรู้ อีกทั้งยังพะวงด้วยเกรงว่าทางครอบครัวจะเป็นห่วงเกี่ยวกับการหายตัวของเธออีกครั้ง
"เป็นเครือข่ายของสุริยันห์กับผรู่ข่าย พวกมันต้องการเลือดเจ้าสำหรับทำพิธีเชื่อมต่อกงล้อของเวลา"
เรื่องจริงรึนี่??
เคยได้ยินแต่คำบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ ไม่คิดว่าจะมีคาถาวิชาแบบนี้และสิ่งนั้นกำลังไล่ล่าเธออยู่
"ฉันคิดถึงพ่อกับแม่"
"เจ้าก็เห็นไม่ใช่รึ? ว่าพวกมันแกร่งกล้ามากแค่ไหน ต่อให้มีวิชาอาคมที่เก่งกาจเพียงใด หากโดนวิชาหยุดเวลาไปมีหรือจะสู้มันได้เพียงแค่สิบวินาทีที่มันหยุดเวลา มันก็สามารถฆ่าคนได้นับร้อยแล้ว"
ถ้อยคำของจเรนั้น ทำให้การะเกดรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในจิตใจ เพราะเธอเห็นแล้วว่าตอนนั้นที่ทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่มีใครขยับเขยื้อนได้แม้แต่พ่อครูไกรศรและพ่อเพลิงของเธอ
"แล้วอยู่ที่นี่พวกมันจะตามตัวข้าไม่เจอรึ?"
กระนั้นเธอก็เอ่ยถามด้วยความฉงน
"ที่นี่ถูกวางกำลังทางไสยเวทย์ไว้อย่างดีไม่ต่างจากเมืองลับแลเทวะบุรี ต่อให้มีวิชาอาคมเก่งกล้า ก็ยากที่จะรู้ หากเราไม่ใช้อาคมในนี้จะไม่มีใครจับกระแสจิตเองได้"
เพราะเหตุนี้ซินะ เขาถึงแต่งตัวสบายๆ
"แล้วท่านรู้จักกับเสือไพรได้อย่างไร? ข้าพอได้ยินกิตติศักดิ์ว่าเสือผู้นี้ดักปล้นเอาอาวุธทางราชการอยู่บ่อยๆ แม้กระทั่งกองกำลังทหารอเมริกายังไม่กลัวเกรงเลย"
"มันเป็นลูกศิษย์ของข้า แล้วมันติดหนี้บุญคุณข้าไว้ เราจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะเลยรอบวันจักราศี วันที่มันทำพิธีไม่ได้"
วันรอบจักรราศีจะเกิดขึ้นหนึ่งครั้งต่อ 72 ปี และหากจะเกิดขึ้นอีกเธอก็คงไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
"ถ้าจะไว้ใจท่านได้แค่ไหน?"
กระนั้น การะเกด ก็ยังไม่ไว้วางใจผู้ชายตรงหน้าเท่าใดนัก เท่าที่ทราบข้อมูลมาจเรนั้นเป็นพ่อครูหมอผีไสยเวทย์ดำ อีกทั้งลูกศิษย์ลูกหานั้นยังเป็นพวกชุมเสือกองโจร เธอไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเขาเลย
"เจ้ามีทางเลือกด้วยรึ?"
"......"
ไม่ทันที่จะเอ่ยถามต่อ เสียงหวานใสของผู้หญิงก็ดังขึ้น
"พ่อหมอจเรสำรับเสร็จแล้ว หม่อนยกมาให้แล้วจ้ะ"
ร่างระหงของหญิงสาวในชุดผ้าไหมสีครามยกถาดสำหรับขึ้นมาบนเรือน สายตาของหล่อนเหลือบมองมายังการะเกด อย่างไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก ขณะย่อกายลงนั่งข้างๆกับจเร แล้ววางถาดอาหารลงบนตั่งเล็กตรงหน้า
"ขอบใจเจ้ามาก ยังไงข้ารบกวนเตรียมเสื้อผ้าของใช้ผู้หญิงให้การะเกดด้วย"
"นางเป็นใครกันหรือพ่อหมอ? ทำไมต้องให้มาพักที่เรือนใหญ่ที่พำนักเดียวกับพ่อหมอด้วยล่ะ?"
หม่อน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ การะเกดพอทราบว่าจากน้าสวยคนในหมู่บ้านว่าหมอจเรนั้น เป็นหมอไสยเวทย์ที่มีเครื่องรางของขลังทั้งของเสน่ห์ต่างๆมากมายและมีสาวๆพัวพันจำนวนมาก และนี่อาจจะเป็นผู้หญิงที่โดนพ่อมดหมอผีคนนี้ใช้มนต์ดำล่อลวงมาก็ได้
จเร ขยับออกห่างจากหล่อน พร้อมเอ่ยเสียงราบเรียบ
"การะเกดเป็นเมียข้า นางจะพำนักอยู่ที่นี่กับข้า"
ถ้อยคำนั้นทำให้หม่อนถึงกับหน้าเจื่อน และมองมาทางการะเกดด้วยสายตาขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง
"ว่าไงนะ!!เมียพ่อหมอรึ?"
ร้อยวันพันปีที่ผ่านมา หมอจเร ไม่เคยยกยอผู้หญิงคนไหนอยู่เคียงข้างกายในฐานะเมียเลยสักคน แล้วอีนังนี่มันเป็นใคร? ถึงได้มาหยิบชิ้นปลามันไปกิน ทั้งที่หม่อนรับใช้ในเรือนของพ่อหมอมาตั้งนาน
"ใช่มีปัญหาอะไรรึ?"
เสียงดุกร้าวทรงอำนาจนั้น ทำให้หม่อนต้องก้มหน้านิ่งอย่างสำรวม หมอจเรไม่ใช่คนที่ใครจะมาตีเสมอได้ง่ายๆ หากไม่พอใจใครขึ้นมาเขาพร้อมที่จะจัดการได้อย่างง่ายดายโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
"ปะ. เปล่าไม่มีอะไรจ้ะ ฉันจะรีบไปเตรียมของตามที่พ่อหมอบอกเดี๋ยวนี้จ้ะ"
"งั้นก็ไปได้ละ"
การะเกด มองร่างอรชรที่เดินหันหลังลงบันไดไปอย่างไม่พอใจจึงหันมามองหน้าเขา
“ท่านมีผู้รับใช้กี่คนรึ?"
"ประมาณสามสิบคน ยังไม่รวมกองพลของชุมเสือไพร แต่ผู้หญิงที่จะมารับใช้เจ้าจะมีสามคน คือหม่อน ด้วงและเย็น เจ้าอยากได้อะไรก็บอกพวกนางได้"
คนรับใช้ของเขาเยอะกว่าคนรับใช้ที่เรือนใหญ่พ่อครูไกรศร และน่าจะมากว่าพวกเจ้าขุนมูลนายบางคนเสียอีก
"ข้าไม่จำเป็นต้องให้ใครมารับใช้ดอก"
การะเกดทำหน้ายู่เล็กน้อย
"ได้ยังไงเล่า เจ้าเป็นเมียข้า ตอนอยู่เรือนเจ้าก็มีคนรับใช้ไม่ใช่รึ? ใยข้าต้องให้เจ้ามาลำบากด้วย"
"หยุดพูดคำนั้นซะที ข้าไม่ใช่เมียเจ้า"
สองแก้มของการะเกดพลันและแดงระเรื่อ ด้วยไม่ชอบใจที่เขาเอ่ยคำนี้แสนพร่ำเพรื่อนัก และเธอยังไม่คุ้นชินกับสรรพนามนี้สักเท่าใด
จเร ยักไหล่เล็กน้อย
"เจ้าเป็นเมียข้าและเจ้าควรจะบอกคนอื่นเช่นนั้น แล้วเจ้าจะปลอดภัยท่ามกลางเหล่าชุมเสือทั้งหลายในป่าดงนี้"
สุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยบอก ขณะเลื่อนถาดอาหารมาให้ตรงหน้า
"กินข้าวซะ...เดี๋ยวข้าจะพาไปอาบน้ำ"
*************