ปกป้อง

1451 คำ
ตอนที่ 13 ปกป้อง ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด รอบด้านมีเพียงความเงียบ เงียบและเงียบ ไร้ซึ่งสรรพสิ่งใดรอบด้านไม่มีแม้แต่สุรเสียงใดๆ เสียงที่ได้ยินชัดที่สุดคือลมหายใจของเธอเอง การะเกด ตระหนักได้ว่าเธอได้กลับมาสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง หญิงสาวพยายามเพ่งมองไปยังแสงสว่างอันน้อยนิดจากเปลวเทียนที่สาดส่องมาไกลๆ เธอลุกขึ้นยืนและเดินก้าวไปหาแสงที่แสงริบหรี่นั้น จเร ยืนอยู่ตรงนั้นในมือถือเทียนอันเล็ก ตรงเอวเขามีปืนสั้นเหน็บไว้ ใบหน้าหล่อคมคร้ามเรียบเฉยดั่งฉาบไว้ด้วยน้ำแข็ง ทว่าดวงตาสีนิลเข้มรัตติกาลกลับสุกสกาวเจิดจ้าดั่งดวงตะวันยามเช้าเมื่อจ้องมองมาทางเธอ ริมฝีปากหยักสวยยกยิ้มขึ้น พร้อมเอ่ยเสียงนุ่มเย็น "ตื่นได้แล้วการะเกด" "เฮือก!!" ร่างบางสะดุ้งตื่นขึ้นทันที ฝัน”.... เธอฝันไปรึนี่? ไม่นะ เธอจำได้ว่าเธออยู่ที่ลานวังช้างแล้วมีการปะทะระหว่างบุรุษผู้หนึ่งกับจเร แล้วทำไมตอนนี้เธอมาอยู่ที่นี่? หญิงสาวมองรอบด้านพบว่าตัวเองนอนอยู่บนฟูกเตียงไม้ประดู่ขนาดใหญ่ ในบ้านไม้สักที่ไม่คุ้นชิน ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ และไม่ใช่เรือนใหญ่ของพ่อครูไกรศร เป็นที่ไหนกัน? "ตื่นแล้วรึ?" ร่างหนาของจเรเดินเข้ามาในห้อง เขาแต่งตัวด้วยเสื้อหม้อฮ่อมและกางเกงผ้าสีซีด ท่าทางของเขาดูสบายและแปลกตาจากทุกครั้งที่เคยเจอ "....." การะเกดมองเขาอย่างฉงน และแน่ใจว่าตัวตนเขาที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ เป็นร่างจริงไม่ใช่จิตร่างแทนเช่นดั่งทุกครั้ง "ที่พำนักของข้าเอง" เหมือน จเร จะล่วงรู้ความคิดของเธอ "ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อความปลอดภัย แต่ไม่อยากพาไปอยู่เรือนครอบ เพราะสถานที่นั้นไม่ปลอดภัยและมันจะดูดกลืนวิญญาณเจ้าได้หากอยู่นานๆ อีกทั้งพวกนั้นมันจะหาเจ้าเจอจากกลุ่มสัมภเวสีเหล่านั้น" "ที่พำนักท่าน? อยู่ตรงไหนของจังหวัดสุรินทร์รึ?" หญิงสาวชะโงกหน้ามองไปทางหน้าต่าง เห็นต้นไม้น้อยใหญ่รกครึ้มเดาว่าสถานที่นี้น่าจะอยู่กลางป่าดงดิบในที่ใดที่หนึ่งแน่นอน "ชุมเสือไพรป่าพนมดงรัก" ชุมเสือ!!! ไม่นะ!!! ตระกูลของเธอถือว่ามีหน้าตาในจังหวัดสุรินทร์ ทั้งพ่อครูไกรสรเองมีผู้คนนับถือมีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วแถบอีสานใต้ ตระกูลของเธอไม่เคยข้องเกี่ยวกับพวกกองโจร แล้วนี่เขาพาเธอมาที่นี่ได้อย่างไร? "กายหยาบของข้าพำนักอยู่ที่นี่ แล้วมันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ขณะขยับมาใกล้เอื้อมมือแตะยังหน้าผากบนของเธอเบาๆ "....." "หิวรึไม่?" "คนพวกนั้นเป็นใครรึ? แล้วต้องการอะไรจากข้า" เธอเอ่ยถามอย่างที่ใจอยากรู้ อีกทั้งยังพะวงด้วยเกรงว่าทางครอบครัวจะเป็นห่วงเกี่ยวกับการหายตัวของเธออีกครั้ง "เป็นเครือข่ายของสุริยันห์กับผรู่ข่าย พวกมันต้องการเลือดเจ้าสำหรับทำพิธีเชื่อมต่อกงล้อของเวลา" เรื่องจริงรึนี่?? เคยได้ยินแต่คำบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ ไม่คิดว่าจะมีคาถาวิชาแบบนี้และสิ่งนั้นกำลังไล่ล่าเธออยู่ "ฉันคิดถึงพ่อกับแม่" "เจ้าก็เห็นไม่ใช่รึ? ว่าพวกมันแกร่งกล้ามากแค่ไหน ต่อให้มีวิชาอาคมที่เก่งกาจเพียงใด หากโดนวิชาหยุดเวลาไปมีหรือจะสู้มันได้เพียงแค่สิบวินาทีที่มันหยุดเวลา มันก็สามารถฆ่าคนได้นับร้อยแล้ว" ถ้อยคำของจเรนั้น ทำให้การะเกดรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในจิตใจ เพราะเธอเห็นแล้วว่าตอนนั้นที่ทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่มีใครขยับเขยื้อนได้แม้แต่พ่อครูไกรศรและพ่อเพลิงของเธอ "แล้วอยู่ที่นี่พวกมันจะตามตัวข้าไม่เจอรึ?" กระนั้นเธอก็เอ่ยถามด้วยความฉงน "ที่นี่ถูกวางกำลังทางไสยเวทย์ไว้อย่างดีไม่ต่างจากเมืองลับแลเทวะบุรี ต่อให้มีวิชาอาคมเก่งกล้า ก็ยากที่จะรู้ หากเราไม่ใช้อาคมในนี้จะไม่มีใครจับกระแสจิตเองได้" เพราะเหตุนี้ซินะ เขาถึงแต่งตัวสบายๆ "แล้วท่านรู้จักกับเสือไพรได้อย่างไร? ข้าพอได้ยินกิตติศักดิ์ว่าเสือผู้นี้ดักปล้นเอาอาวุธทางราชการอยู่บ่อยๆ แม้กระทั่งกองกำลังทหารอเมริกายังไม่กลัวเกรงเลย" "มันเป็นลูกศิษย์ของข้า แล้วมันติดหนี้บุญคุณข้าไว้ เราจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะเลยรอบวันจักราศี วันที่มันทำพิธีไม่ได้" วันรอบจักรราศีจะเกิดขึ้นหนึ่งครั้งต่อ 72 ปี และหากจะเกิดขึ้นอีกเธอก็คงไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว "ถ้าจะไว้ใจท่านได้แค่ไหน?" กระนั้น การะเกด ก็ยังไม่ไว้วางใจผู้ชายตรงหน้าเท่าใดนัก เท่าที่ทราบข้อมูลมาจเรนั้นเป็นพ่อครูหมอผีไสยเวทย์ดำ อีกทั้งลูกศิษย์ลูกหานั้นยังเป็นพวกชุมเสือกองโจร เธอไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเขาเลย "เจ้ามีทางเลือกด้วยรึ?" "......" ไม่ทันที่จะเอ่ยถามต่อ เสียงหวานใสของผู้หญิงก็ดังขึ้น "พ่อหมอจเรสำรับเสร็จแล้ว หม่อนยกมาให้แล้วจ้ะ" ร่างระหงของหญิงสาวในชุดผ้าไหมสีครามยกถาดสำหรับขึ้นมาบนเรือน สายตาของหล่อนเหลือบมองมายังการะเกด อย่างไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก ขณะย่อกายลงนั่งข้างๆกับจเร แล้ววางถาดอาหารลงบนตั่งเล็กตรงหน้า "ขอบใจเจ้ามาก ยังไงข้ารบกวนเตรียมเสื้อผ้าของใช้ผู้หญิงให้การะเกดด้วย" "นางเป็นใครกันหรือพ่อหมอ? ทำไมต้องให้มาพักที่เรือนใหญ่ที่พำนักเดียวกับพ่อหมอด้วยล่ะ?" หม่อน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ การะเกดพอทราบว่าจากน้าสวยคนในหมู่บ้านว่าหมอจเรนั้น เป็นหมอไสยเวทย์ที่มีเครื่องรางของขลังทั้งของเสน่ห์ต่างๆมากมายและมีสาวๆพัวพันจำนวนมาก และนี่อาจจะเป็นผู้หญิงที่โดนพ่อมดหมอผีคนนี้ใช้มนต์ดำล่อลวงมาก็ได้ จเร ขยับออกห่างจากหล่อน พร้อมเอ่ยเสียงราบเรียบ "การะเกดเป็นเมียข้า นางจะพำนักอยู่ที่นี่กับข้า" ถ้อยคำนั้นทำให้หม่อนถึงกับหน้าเจื่อน และมองมาทางการะเกดด้วยสายตาขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง "ว่าไงนะ!!เมียพ่อหมอรึ?" ร้อยวันพันปีที่ผ่านมา หมอจเร ไม่เคยยกยอผู้หญิงคนไหนอยู่เคียงข้างกายในฐานะเมียเลยสักคน แล้วอีนังนี่มันเป็นใคร? ถึงได้มาหยิบชิ้นปลามันไปกิน ทั้งที่หม่อนรับใช้ในเรือนของพ่อหมอมาตั้งนาน "ใช่มีปัญหาอะไรรึ?" เสียงดุกร้าวทรงอำนาจนั้น ทำให้หม่อนต้องก้มหน้านิ่งอย่างสำรวม หมอจเรไม่ใช่คนที่ใครจะมาตีเสมอได้ง่ายๆ หากไม่พอใจใครขึ้นมาเขาพร้อมที่จะจัดการได้อย่างง่ายดายโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น "ปะ. เปล่าไม่มีอะไรจ้ะ ฉันจะรีบไปเตรียมของตามที่พ่อหมอบอกเดี๋ยวนี้จ้ะ" "งั้นก็ไปได้ละ" การะเกด มองร่างอรชรที่เดินหันหลังลงบันไดไปอย่างไม่พอใจจึงหันมามองหน้าเขา “ท่านมีผู้รับใช้กี่คนรึ?" "ประมาณสามสิบคน ยังไม่รวมกองพลของชุมเสือไพร แต่ผู้หญิงที่จะมารับใช้เจ้าจะมีสามคน คือหม่อน ด้วงและเย็น เจ้าอยากได้อะไรก็บอกพวกนางได้" คนรับใช้ของเขาเยอะกว่าคนรับใช้ที่เรือนใหญ่พ่อครูไกรศร และน่าจะมากว่าพวกเจ้าขุนมูลนายบางคนเสียอีก "ข้าไม่จำเป็นต้องให้ใครมารับใช้ดอก" การะเกดทำหน้ายู่เล็กน้อย "ได้ยังไงเล่า เจ้าเป็นเมียข้า ตอนอยู่เรือนเจ้าก็มีคนรับใช้ไม่ใช่รึ? ใยข้าต้องให้เจ้ามาลำบากด้วย" "หยุดพูดคำนั้นซะที ข้าไม่ใช่เมียเจ้า" สองแก้มของการะเกดพลันและแดงระเรื่อ ด้วยไม่ชอบใจที่เขาเอ่ยคำนี้แสนพร่ำเพรื่อนัก และเธอยังไม่คุ้นชินกับสรรพนามนี้สักเท่าใด จเร ยักไหล่เล็กน้อย "เจ้าเป็นเมียข้าและเจ้าควรจะบอกคนอื่นเช่นนั้น แล้วเจ้าจะปลอดภัยท่ามกลางเหล่าชุมเสือทั้งหลายในป่าดงนี้" สุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยบอก ขณะเลื่อนถาดอาหารมาให้ตรงหน้า "กินข้าวซะ...เดี๋ยวข้าจะพาไปอาบน้ำ" *************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม