“กุลภรณ์”
“มาค่ะ”
เสียงกระหืดกระหอบตอบกลับมา หลังจากที่ผลักประตูห้องเรียนเต็มแรง ทำให้ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในห้อง หากเป็นคนอื่น คงโดนอาจารย์เฉ่งออกไปแล้ว แต่พอเห็นว่าเป็นลูกสาวของนายหัวพล ผู้ทรงอิทธิพลรายใหญ่ที่มีหุ้นส่วนก่อตั้งมหาวิทยาลัย อาจารย์สาวจึงยอมผายมือเชิญให้แคลเดินมานั่งที่โต๊ะอย่างเสียไม่ได้
“อดิสัน”
“มาครับ”
อาจารย์ยังคงเช็กชื่อต่อไปเรื่อย ๆ ส่วนแคลก็ค่อย ๆ เดินก้มหน้ามานั่งยังจุดประจำ ที่มีเพื่อนสาวจอมแก่นในชุดกระโปรงทรงเอและรองเท้าผ้าใบสีซีดนั่งไขว่ห้างรออยู่
“มาซะสาย เข้าหอสว่างคาตาเลยงั้นดิ”
พิกขยับเข้ามากระซิบถามเสียงแผ่ว ชวนให้ขนลุกไปทั้งตัว
“ใช่ ระแวงจนไม่ได้หลับได้นอน เพิ่งมาหลับตีห้านี่เอง”
แคลกระแทกเสียงระดับกระซิบอย่างขุ่นเคือง เพราะไทเกอร์คนเดียวที่มาปั่นประสาทจนเธอไม่เป็นอันหลับอันนอน
“เอาน่า วันนี้มีเรียนแค่ช่วงเช้า บ่ายค่อยกลับไปนอนต่อก็ได้”
“หือ? ตอนบ่ายก็มีเรียนไม่ใช่เหรอ”
เธอเลิกคิ้วสูง เพราะจำได้ว่าดูตารางเรียนก่อนออกมาแล้ว
“ได้อ่านไลน์กลุ่มไหมเนี่ย อาจารย์ส่งข้อความมาบอกว่ายกคลาสตั้งแต่แปดโมงแล้ว เห็นว่าจะไป...”
“จิรารัตน์ จะคุยอีกนานไหมคะ?”
พูดไม่ทันจะจบ ทั้งคู่ก็ต้องยอมปิดปากเงียบเพราะถูกอาจารย์ที่อยู่หน้าชั้นดุสีหน้าจริงจัง เลยต้องยอมเก็บคำพูดทั้งหมดเอาไว้ รอคุยกันอีกทีช่วงจบคาบ
“ได้เวลากินข้าวซะที สอนเต็มเวลาไม่พอ นี่ยังสอนเกินไปอีกตั้งสิบนาที พยาธิในท้องฉันร้องประท้วงจนมวนท้องไปหมดแล้วเนี่ย”
พิกบ่นอุบในขณะที่เก็บชีตเรียนใส่เข้าไปในกระเป๋า ข้างกันคือแคลที่ยังนั่งนิ่ง หยิบมือถือขึ้นมากดยิก ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากที่อาจารย์เดินออกไปจากห้องแล้ว
“เอ้า ลุกสิ ไปกินข้าว”
เพื่อนรักพูดย้ำ ก่อนจะชะเง้อคอไปดูหน้าจอของแคลอย่างถือวิสาสะ
“มีอะไรเหรอ”
“พี่ไทเกอร์น่ะ เขาส่งข้อความมาบอกว่าวันนี้มีประชุมดึก ให้กลับเอง แล้วก็ส่งภาพหุ้นส่วนมาให้ดู”
พูดพร้อมกับชูหน้าจอให้พิกได้เห็น ว่าตอนนี้ไทเกอร์กำลังนั่งอยู่กับผู้หญิงในชุดสูทสีแดงผืนสั้น หน้าตาสะสวยสไตล์ลูกครึ่งไทย-จีน
“ก็ดีแล้วนี่”
พิกจ้องหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
“แกไม่เข้าใจอะพิก เฮ้ออ”
แคลถอนหายใจออกมาแรง ๆ พร้อมกับเอนหัวไปด้านหลังทิ้งผมยาวสยายไปในแนวดิ่ง เปลือกตาสีชมพูอมส้มประกบลงอย่างเหนื่อยอ่อน เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เพราะไม่อยากใช้ชีวิตคู่แบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เธอจินตนาการเลย พี่เสือที่รู้จักไม่ใช่คนแบบนี้ เวลาแค่ไม่กี่ปี มันเปลี่ยนคนแสนดีกลายเป็นคนชั่วช้าได้มากขนาดนี้เลยเหรอ
“แกนึกถึงคำพูดของเขา ว่าถ้าไม่ให้เอา เขาจะไปหาความสุขนอกบ้าน แล้วยิ่งเขาส่งมาบอกว่ามีกินข้าวกับหุ้นส่วนจนดึก แกเลยคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่ากินข้าวถูกไหม?”
พิกยอมทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้อีกครั้งเพื่อปลอบใจเพื่อน ซึ่งในขณะนี้นักศึกษาคนอื่น ๆ ออกไปจากห้องกันจนหมดแล้ว
“อืม มันโคตรเห็นแก่ตัวเลยนะ”
“แล้วทำไมแกไม่ยอมให้เขาเอาล่ะ มันจะได้จบ ๆ”
“แกจะบ้าเหรอฮะ แต่งกันแค่ปีเดียวเอง มันใช่เรื่องไหมที่ฉันต้องยอมเสียซิงเพื่อให้เขาอยู่ในลู่ในทาง”
“งั้นแกก็ต้องยอมระแวงอยู่แบบนี้แหละ จนกว่าจะถึงวันหย่า”
“เฮ้ออ”
ยิ่งพูดก็ยิ่งท้อใจ เสียงถอนหายใจดังออกมาซ้ำ ๆ หากเป็นลูกโป่ง คงได้หมดลมแบนแฟบไปนานแล้ว
“แกว่าฉันควรทำไงดี บุกไปที่โรงแรม หาจังหวะดี ๆ ตอนที่พวกเขากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม แล้วตีให้ตายกันไปข้างเลยดีไหม”
“ก็ดีนะ คนจะได้ฮือฮา ชื่อเสียงที่พ่อแม่แกสร้างมา รวมถึงธุรกิจทุกอย่างที่หุ้นกันไว้จะได้พังหมด ไอ้การรวมอำนาจอะไรนั่นก็พังย่อยยับ แต่ไม่เป็นไร พ่อแกไม่อยู่แล้วนี่ เขาคงไม่ลุกขึ้นมาร้องไห้หรอก แล้วเวลาไปไหนมาไหนคนจะได้มองแกด้วยสายตาแปลก ๆ ด้วย”
เหมือนโดนความจริงสาดเข้าหน้าจนตาสว่าง แคลเปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะหันไปมองเพื่อนแล้วเอนตัวซบอย่างไร้ที่พึ่งพิง
“แล้วฉันควรทำยังไงต่อวะ”
“ข้อแรก แกต้องทำใจ”
คงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว ทำได้เพียงยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น
“ส่วนข้อที่สอง ถ้าแกไม่ยอมให้เขาเอา แกก็ต้องยอมรับข้อตกลงระหว่างกันให้ได้ แต่ไม่ใช่ว่าแกเสียเปรียบนะ เพราะถ้าเขาทำได้ แกก็ทำได้ แกอยากออกไปไหน ทำอะไร ก็ทำได้เลย ไม่ต้องแกล้งเป็นกุลสตรีศรีชาติอย่างที่แม่แกพร่ำสอนหรอก”
แคลได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อนึกตามคำพูดของเพื่อน มันก็คงจริงอย่างที่พิกว่า ถ้าต่อต้านไม่ได้ ก็คงเหลือแค่การอยู่ร่วม และยอมรับมันเท่านั้น
“เอาน่า ปล่อย ๆ มันไป ไม่ต้องยึดติดมาก ปีเดียวมันไม่ได้นานหรอก เชื่อฉันสิ”
พิกพยายามให้กำลังใจ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“งั้นวันนี้ไปคลายเครียดกันเอาไหม ฉันกำลังมองหาที่ทำงานใหม่อยู่พอดี”
“ย้ายอีกแล้วเหรอ?”
แคลขมวดคิ้วถาม เพราะสามเดือนมานี้พิกเปลี่ยนที่ทำงานมาสองที่แล้ว
“อืม ที่เดิมจะเจ๊งน่ะ เขาเลยพยายามพูดอ้อม ๆ ว่าให้หาที่สำรองไว้”
“งั้นไปที่แบล็กคิงส์ไหม ฉันฝากให้”
“จริงเหรอ?”
พิกตาโตเป็นประกาย เพราะที่นั่นเป็นผับใหญ่ และเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน ซ้ำยังเป็นผับที่สร้างขึ้นโดยมีแคลเป็นหุ้นส่วน ยังไงก็ไม่น่าจะถูกไล่ออกแน่
“งั้นคืนนี้เข้าไปดูก่อนก็ได้ แต่ขอบอกพี่ไทเกอร์ก่อน”
ว่าแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาผู้เป็นสามี แต่กลับเป็นข้อความที่บอกว่าเธอมีงานกลุ่ม ต้องทำจนดึก และอาจจะนอนค้างที่บ้านเพื่อน
‘เพื่อนชื่ออะไร’
‘พิกค่ะ’
นิ้วเรียวกดปิดหน้าจอโดยไม่รอให้คุยกันรู้เรื่อง แล้วยัดโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง
“ทำไมแกไม่บอกเขาไปตรง ๆ ล่ะ ว่าจะไปผับ”
“แกว่า... ถ้าบอกไปตอนนี้ กับให้เขารู้เองทีหลัง แบบไหนเขาจะโมโหมากกว่า?”
“แกคิดจะทำอะไรเนี่ย”
พิกเริ่มใจไม่ดี กลัวว่าเพื่อนจอมวางแผนจะสร้างเรื่องอีก
“ฉันไม่ยอมให้เขาปั่นประสาทฝ่ายเดียวหรอกนะ อย่างที่แกบอก ถ้าเขาทำได้ ฉันก็ทำได้เหมือนกัน ถ้าเขาต้องการจะเล่นสงครามกับฉัน ฉันก็จะไม่หนีเขาอีกต่อไปแล้ว”
แววตาเศร้าหมองก่อนหน้าแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ย่อท้อต่ออะไรง่าย ๆ เพราะถูกสร้างให้แข็งแกร่งต่อสงคราม แม้จะเป็นแค่สงครามประสาทระหว่างสามีภรรยา เธอก็แพ้ไม่ได้...