ตอนที่ 7 อีวาน & อีเวร
จากเดิมที่ผมวางแผนจะพาลูกกลับเมืองไทย แต่เพราะคาลวินมีตารางนัดฉีดวัคซีนตามกำหนดครบแปดเดือน ผมจึงเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน เพราะทุกครั้งหลังการฉีดยา เจ้าลูกหมาน้อยของผม มักจะเป็นไข้ไม่สบายทุกรอบ
“อ้า..เอ้อ” เจ้าลูกชายจอมโวยวาย นั่งชะเง้อคอรอกินข้าวอยู่บนเก้าอี้เด็ก เห็นตัวเล็กๆ แต่คาลวินกินเก่ง กินดุ เหมือนผมปล่อยลูกให้อดอยาก
“ฮึ ฮึ ฮึ”
“หัวเราะอะไร” ผมหันไปมองขวางให้ผัวเก่า ที่นั่งหัวเราะอยู่ข้างลูกชาย
“คาลวิน อย่าเร่งเขานักแม่สิลูก เดี๋ยวโดนแม่ดุเอานะ” มาเฟียหน้าเข้มก้มลงไปจุ๊บหัวเหม่งของลูกชายตัวเอง ไม่วายเงยหน้าขึ้นมาสบตายิ้มเยาะให้ผม
“อ๊า หม่ำ หม่ำ หม่ำ” ลูกมาเฟียเอาแต่ใจตบมือลงไปบนโต๊ะทานอาหารสำหรับเด็ก ดีดแขน ดีดขา ทำท่าเร่งแม่อย่างผม
“ให้ฉันช่วยมั้ย วันนี้นายทำอะไรให้ลูกกิน”
“นั่งอยู่เฉยๆ ไปเลย ลูกผม...ผมเลี้ยงเองได้”
"ก็แค่อยากช่วย"
“ไม่ต้องยุ่ง” ต่อให้มีพี่เลี้ยง มีพยาบาลมาคอยรับใช้ใกล้ชิด แต่ผมยังทำอะไรหลายๆ อย่างหรืออาจเรียกว่าเกือบทุกอย่างให้ลูกเอง รวมถึงการมานั่งบดข้าว ขูดฟักทอง ปั่นผักใบเขียวเหล่านี้ด้วย
“อุ้งงงง” ปากเล็กห่อเข้าหากัน พยายามออกเสียงตาม
“ใช่...ยุ่ง”
“อุ้ง”
ผมกับอีวานเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้กัน เมื่อเห็นว่าคาลวินนั้นเริ่มฝึกออกเสียงตามอย่างพวกเราแล้ว ยิ่งเมื่อครั้งก่อนตอนไปพบคุณหมอ ยังได้รับคำชมมากมายว่าคาลวิน พัฒนาการไวกว่าเด็กทั่วไปหลายเท่า เพราะนอกจากเจ้าตัวเล็กจะเริ่มยืนเองได้แล้ว ขาสั้นๆ ยังพยายามจะก้าวไปข้างหน้าจนตอนนี้ผมกับอีวานลุ้นทุกวันว่าจะได้เห็นก้าวแรกของลูกเมื่อไหร่
“อ้ามมมมม” ปากเล็กอ้ากว้าง รอตั้งแต่ช้อนยังไม่ทันได้ตักอาหาร
“ใจเย็นๆ สิลูก”
“อ้ามมมมม ฮึ่มม” เจ้าตัวเล็กใจร้อนทำเสียงคำรามในลำคอ เมื่อผมไม่ยอมป้อนข้าวใส่ปากสักที
“เดี๋ยวนี้หัดขู่แม่แล้วเหรอ”
“อื้อ หม่ำ หม่ำ” มือเล็กๆ ตบลงบนเก้าอี้เร่งให้ผมป้อนข้าว
“รู้แล้วลูกว่าหิว...รอหน่อยสิครับลูก ใจเย็นๆ”
ทันทีเมื่อข้าวถูกป้อนใส่เข้าไปในปาก ลูกชายผู้หิวโหยของผมถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นปากขยับหมุบหมับกลืนอาหารที่ผมบดลงคอหายวับไปกับตา
“หม่ำ หม่ำ”
“ช้าๆ ไอ้เสือ ใจเย็นลูก แม่เขาป้อนไม่ทัน” อีวานวางมือลงไปลูบหัวลูกชายพร้อมกับช่วยหยิบผ้ากันเปื้อนมาเช็ดปากให้
“อ้ามมม” เสียงเล็กร้องสั่งพร้อมอ้าปากกว้างรอให้ผมเอาป้อนข้าวให้
“ตัวแค่นี้หัดเอาแต่ใจแล้ว เหมือนใครเนี่ย” ผมสะบัดหางตามองขวางให้คนเป็นพ่อ
“เหมือนพ่อไงเนอะ...”
ลูกพี่ลูกน้องคนละแม่ แต่พ่อเดียวกันของอีวานเดินเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ที่ผมกำลังหัดให้ลูกชายเดิน ลำพังแขกผู้น่ารังเกียจคนนี้เดินเข้ามาในบ้านผมไม่ได้สะทกสะท้านอะไร แต่มันสะดุดตาตรงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ถูกผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งลากเดินตามเข้ามาต่างหาก
“คุณมาทำอะไรที่นี่” ผมเขม่นตามองแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองอย่างไม่วางใจ
“ทำไมฉันจะมาที่นี่ไม่ได้ ที่นี่เป็นบ้านของอีวาน...ไม่ใช่บ้านนายสักหน่อย อีกอย่างนายกับอีวาน หย่ากันไปตั้งเกือบปีแล้ว เห็นพูดปาวๆ ว่าจะกลับเมืองไทย แล้วทำไมยังไม่กลับสักที” ไอ้หนุ่มรัสเซียปากหมาเบะปากวางท่าจนน่าถีบ
“ผมจะกลับเมื่อไหร่ ตอนไหนก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างคุณนี่นา”
“คนนอกอย่างนั้นเหรอ พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกหรอกนะ เพราะอย่างน้อยผมกับอีวาน...เราใช้นามสกุลเดียวกัน ส่วนนาย...ฮึ” มุมปากขยับทำมุมน่ารังเกียจ
“คุณนามสกุลเดียวกันก็จริง แต่ผมกับอีวาน...เรามีลูกด้วยกัน”
“เด็กนั่น...”
“ถ้าไม่อยากถูกตบจนปากแตกอีกล่ะก็....คิดให้ดีๆ ก่อนจะพูดนะครับ” ผมพยักหน้าเรียกให้พี่เลี้ยงมาอุ้มพาคาลวินเข้าไปอยู่ในห้องเด็ก ส่วนตัวเองเดินเข้ามาประจันหน้ากับคู่ปรับเก่า
“อีวานไม่อยู่ปกป้องนายนะ”
“ฮึ ฮึ ฮึ อีวานจะมาปกป้องอะไรผม จำไม่ได้เหรอว่าคราวที่แล้ว อีวานก็ถูกผมตบจนแก้มช้ำมาแล้ว คุณเองก็เถอะ...ผมไม่ไว้หน้า รักษามารยาทหรอกนะ”
“คงเห็นแล้วนะครูซ...ว่าผู้ชายคนนี้เขาเป็นยังไง” ญาติผู้น้องของอีวานหันไปคุยกับแขก
“ชื่อครูซเหรอ...นึกยังไงถึงคบหากับคนแบบนี้” ผมก้าวเท้าเดินล้ำไปเบื้องหน้าสบตากับหนุ่มฝรั่งผมสีน้ำตาลทอง ดวงตาสีฟ้าหม่นบ่งบอกว่าน่าจะมาจากแถบเมดิเตอร์เรเนี่ยน สายตาไล่สำรวจตั้งแต่ปลายผมจนถึงปลายเท้า โดยไม่จำเป็นต้องรักษามารยาท
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
“คุณจะให้ผม...อธิบายตรงๆ จริงเหรอ”
“ฮึ...ปากเก่งไปเถอะ อีกไม่นานฉันจะทำให้นายยิ้มไม่ออก”
“เอาล่ะ มาพูดธุระของคุณดีกว่า ผมคิดว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าวันนี้อีวานไม่อยู่บ้าน คุณกับ...คุณครูซ มีธุระอะไรถึงได้หอบผ้าหอบผ่อน โซซัดโซเซเหมือน....คนไม่มีที่ไป มายืน...พูดจาวกวนในบ้านคนอื่น”
“ครูซเป็นเพื่อนของฉัน เขาวางแผนจะมาลงทุนทำธุรกิจกับเราที่รัสเซียแล้วจะเข้าชมโรงงานเบียร์ของอีวาน ฉันต้องการให้เขาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด เลยคิดว่าให้เขามาพักที่บ้านนี้น่าจะดีกว่าไปพักที่โรงแรม”
“ถามจริง....?” ผมกระตุกยิ้มเลิกคิ้วสูงพร้อมกับยกมือตวัดขึ้นมากอดอก
“อะไร...”
“บ้านหลังนี้ที่มีเด็กอ่อนอายุสิบเอ็ดเดือนที่วันๆ ร้องโวยวายจะกินนม เดี๋ยวอึ เดี๋ยวฉี่ มีของเล่นเกลื่อนเต็มบ้าน พ่อบ้าน แม่บ้าน จัดอาหารตามเวลาและตามเมนูที่ผมแจ้งเท่านั้น ตอนเช้าบนโต๊ะอาหารมีแค่ขนมปังปิ้ง สองสามแผ่นกับกาแฟดำ เพราะอีวานกินแค่นั้น คุณคิดว่า...ที่นี่ดีกว่าโรงแรม...เลยพาเพื่อนมาพัก นี่คุณครูซ...คุณคบหาคนไอคิวต่ำขนาดนี้เป็นเพื่อนได้ยังไงกัน”
“จีน!”
“อย่าคิดว่าผมอ่านเกมปัญญาอ่อนของคุณไม่ออก ถ้าหากคุณครูซมีจุดประสงค์ในการมาที่นี่เพื่ออยากทำความรู้จักกับอีวาน อดีตสามีของผม แนะนำว่าต้องฉลาดกว่านี้หน่อยนะครับ”
“รู้อย่างนั้นก็ดีแล้ว ตอนนี้ไปเตรียมเก็บกระเป๋ารอเอาไว้ก่อนก็ดีนะ”
“ถ้าอีวานต้องการมีใหม่ ผมไม่เคยขัดขวาง ยังไงก็...เอาใจช่วยนะครับ คุณครูซขอให้สมหวัง” ผมส่งยิ้มจริงใจให้กับผู้ชายฝรั่งทั้งสองก่อนจะหมุนตัวเดินห่างออกมา
“ฉันจะจองตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยเอาไว้ให้นาย”
“ถ้าอย่างนั้นขอเป็นบิสซิเนสคลาส VIP แล้วกันนะครับ” ผมหันมายักคิ้วให้คนที่อยากได้ผัวเก่าผมไปเป็นผัวใหม่เพื่อน
“แม่...เรียกแม่สิครับ” ผมนอนเล่นอยู่กับลูกชายบนเตียง พยายามสอนให้ลูกออกเสียงตามอย่างที่คุณหมอแนะนำเพราะตอนนี้คาลวินเริ่มพูดตามเป็นคำๆ ได้บ้างแล้ว
“แม่...” ลูกชายลากเสียงยาวตามผมได้ในที่สุด
“ฮึ...” ผมนอนยิ้มน้ำตาปริ่มด้วยความดีใจที่วันนี้ได้ยินเสียงลูกชายสุดที่รักเรียกผมว่าแม่สักที หลังจากเฝ้าพยายามมานาน
“คาลวิน ลูกรักของแม่เก่งที่สุดเลยลูก”
“อ้า...อ้า” เจ้าตัวเล็กทำท่าตื่นเต้นดีใจเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ของรถหลายคันมาจากหน้าต่างห้อง เจ้าก้อนลุกลี้ลุกลนรู้ทันทีว่าพ่อกำลังจะมา
“แหม...ดีใจออกนอกหน้าเกินไปแล้วนะคาลวิน” ผมมองลูกชายอย่างตัดพ้อ
ทั้งที่ผมเลี้ยงคาลวินเองแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่คาลวินกลับติดพ่อหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ไม่เว้นที่ว่างหัวใจไว้ให้ผมเลย ขาสั้นพยายามปีนป่ายลงไปจากเตียงโดยมีพี่เลี้ยงยืนระวังอยู่ใกล้ๆ ตอนนี้คาลวินเดินได้คล่องขึ้น แม้จะตุปัดตุเป๋เซซ้าย เซขวาไปบ้างแต่ถ้าเทียบกับเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันที่ยังเพิ่งหัดตั้งไข่ คาลวินนับว่าพัฒนาการมาไกลจริงๆ
“กรี๊ดดดดดด” เสียงกรีดร้องด้วยความดีใจของลูกชายที่วิ่งไปตามโถงทางเดินทำให้ผมกับเหล่าบรรดาพี่เลี้ยงพยาบาลทั้งหลายอดหัวเราะไม่ได้
“เอ้...”
"ทำไมลูก ไปหาพ่อสิ" ผมเดินตามมาจนเห็นว่าลูกเล็กยืนนิ่งไม่วิ่งต่อ จนเมื่อมองตามสายตาไม่พอใจของเจ้าตัวเล็กไปเห็นว่าคนเป็นพ่อกำลังหยุดยืนคุยกับไอ้ญาติตัวปัญหา
“แอ๊” เสียงแจ๋วๆ ร้องโวยวายอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นว่าพ่อไม่เข้ามาหาเหมือนทุกที
“อีวานครูซน่ะเขามีเรื่อง...”
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน...ไงลูก พ่อกลับมาแล้ว” อีวานยกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์ว่าต้องการจบบทสนทนา จากนั้นจึงตรงเข้ามาอุ้มเอาเจ้าอ้วนตุ๊ต๊ะขึ้นไปกอด ทิ้งให้ญาติผ๔เน้องยืนอ้าปากค้าง มองตาขวางตามหลังมา
“คิดถึงจังเลยลูก” นับว่านี่เป็นหนึ่งในข้อดีของอีวาน คือไม่ว่ามันจะมีเร่ืองอะไรสำคัญมาก สำคัญน้อยแค่ไหน แต่ถ้าหากมีเจ้าก้อนตุ๊ต๊ะคาลวินอยู่ใกล้ ๆ อีวานจะให้ความสำคัญกับลูกก่อนเสมอ
“........” ผมเดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ ปรายหางตามองแขก ที่กำลังยืนมองมาทางเราสามคนพ่อแม่ลูก
“แม่....” นิ้วสั้นป้อมชี้มาทางผมพร้อมกลีบปากบางกระจิริดเปล่งเสียงหวาน
“แม่เหรอ...นี่ลูกเรียกแม่ได้แล้วเหรอ จีน” อีวานหันมายิ้มให้ผม สีหน้าท่าทางแสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจ
“อืม”
“เก่งจังเลยลูก แล้วพ่อล่ะ...เรียกพ่อบ้างสิ” อีวานคะยั้นคะยอลูกชาย แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวเล็กกลับไม่ยอมเปล่งเสียงใดๆ ออกมาอีก
“คุณจะคุยธุระกับญาติของคุณก่อนก็ได้นะ ผมจะพาคาลวิน...ไปอาบน้ำ”
“นี่เป็นเวลาครอบครัว เรื่องงานเอาไว้ทีหลัง” อีวานหันหลังกลับไปพูดกับญาติผู้น้องที่ยืนชักสีหน้าเหมือนไม่พอใจ ส่วนคนชื่อครูซผมยังเดาใจไม่ออกว่าจะมาไม้ไหนเพราะเขาดูนิ่งและสุขุมกว่า
“วันนี้ฉันไปช่วยอาบน้ำให้คาลวินนะ”
“ตามใจ”
“คาลวินมาหาแม่เร็ว ไปอาบน้ำกัน”
“.......” หัวกลมสะบัดหน้าส่ายไปมาจนแก้มอ้วนๆ สั่นกระเพื่อม แขนสั้นเป็นปล้องกอดคอพ่อรัดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“คาลวิน ไปอาบน้ำกันนะลูก”
“ได้พ่อก็ลืมแม่ เชอะ” ผมตบฝ่ามือลงไปบนก้นอวบตุงแพมเพิร์ส จากนั้นเดินนำหน้ากลับไปยังห้องนอนของลูกทันที
“อีวาน!” ผมง้างหมัดตั้งใจจะทุบพ่อของลูกสักอัก โทษฐานเล่นพิเรนทร์ชวนลูกเล่นตีน้ำในอ่างจนมันเด็น พากันเปียกหมดครบทุกคน
“วานนนนนน”
“อะไรนะลูก พูดอีกทีสิ” อีวานกับผมหยุดทะเลาะกันเงี่ยหูตั้งใจฟังเสียงพูดเบาๆ ปากเล็กเปล่งเสียงซ้ำชัดเจน จนผมกับอีวานน้ำตาแทบไหล
“วานนนน” ดวงตากลมโตของลูกเงยขึ้นมามองหน้าทั้งพ่อแม่ ปากบางกระจิริดเปล่งเสียงซ้ำพูดคำที่ทำให้ผมกับอีวานน้ำตาแทบไหล
“ครับ...อีวาน” เจ้าของชื่อก้มลงไปจูบลูกชาย ไม่วายมือหยาบรั้งหัวไหล่ดึงผมเข้าไปกอดด้วย
“วาน”
“เอ...แล้วทำไมเรียกอีวานล่ะลูก ต้องเรียกพ่อสิครับ”
“เรียกอีวานก็ถูกแล้วไง”
“คาลวินเป็นลูกฉัน ก็ต้องเรียกฉันว่าพ่อ จะมาเรียกว่าอีวานเหมือนคนอื่นได้ยังไง เวรเอ๊ย”
“เอ๊ย!” เจ้าของแก้มป่องยิ้มจนตาหยี
“เรียกพ่อใหม่ได้มั้ยลูก คนนี้ใครครับ” อีวานจิ้มนิ้วเข้าหาตัวเอง
“วาน”
“แล้วคนนี้ล่ะครับ คนนี้ใคร” ผมไม่ยอมแพ้ชี้นิ้วใส่ตัวเองบ้าง
“เวรเอ๊ย”
“ห้ะ!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อีวานระเบิดเสียงหัวเราะดังจนผมโมโห
“คาลวิน แม่งอนแล้วนะ”