ตอนที่ 19 เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ

1854 คำ
เมื่อร่างบอบบางเดินเข้ามาในห้องนอนของตัวเองก็ตรงเข้าไปยังห้องแต่งตัว ตั้งใจว่าจะถอดเสื้อผ้าอาบน้ำให้หายล้า แต่เมื่อเดินผ่านหน้ากระจกก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นว่าบนลำคอของเธอยังมีสร้อยเพชรน้ำงานประดับอยู่ มือเล็กถอดเครื่องประดับที่ประยังดับอยู่บนร่างกายออกทีละชิ้น วางมันลงบนกล่องเก็บเครื่องประดับในตู้ ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่เดินหายเข้าห้องน้ำไป นานหลายนาทีที่ชายหนุ่มจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาแอบคิดในใจว่าคงต้องเอาพวกเครื่องใช้ของเขาเองมาทิ้งเอาไว้ที่นี่บ้าง เพราะรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มมานอนที่นี่บ่อยกว่ากลับไปนอนบ้านของตัวเองเสียอีก สัญชาตญาณนักล่าทำให้เขารู้สึกตัวว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้ สายตาคมตวัดมองไปที่ประตูเชื่อมเมื่อรู้สึกว่ามันขยับเขยื้อน “ขอโทษค่ะ มุกเข้าไปได้ไหมคะ” เสียงหวานใสดังออกมา เมื่อประตูมันเปิดออกเพียงเล้กน้อย ก่อนที่เอจะส่งเสียงเป็นการขออนุญาต “เข้ามาสิ” “พอดีมุกว่าจะถามว่าคุณได้เอากล่องเครื่องเพชรขึ้นมาหรือเปล่า มุกจะเก็บลงกล่องมันค่ะ” “เอามา อยู่นู่นแน่ะ” ปลายนิ้วยาวชี้ไปที่โต๊ะข้างหัวเตียง “มุกเอาไปนะ” “จ้ะ” ร่างบางเดินไปหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนจะเดินกลับมายืนข้างร่างสูงที่กำลังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมตัวเองอยู่ “ช่วยไหมคะ” “ได้ก็ดีนะ” มือเล็กจับผ้าผืนเล็กต่อจากเขา เธอลงมือเช็ดเส้นผมบนศีรษะทุยสวยเบาๆ ทั้งที่ยังแอบแปลกใจไม่น้อยที่เขายอมให้เธอจับศีรษะของเขาได้ “มือเบาดีนี่” “เคยทำให้คุณแม่น่ะค่ะ” “นอกจากคุณแม่ล่ะ” “ไม่เคยค่ะ” เสียงสนทนาเงียบไป เมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบลง จนกระทั่งมือเล็กหยุดการกระทำ และเอาผ้าขนหนูมาถือไว้ในมือ เธอก็ส่งยิ้มหวานให้กับเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ขอบเตียง “เรียบร้อยค่ะ” “จ้ะ แล้วนี่.....” สายตาคมที่เพิ่งเห็นว่าคนตัวเล็กใส่เพียงเสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงขาสั้นก็หรี่ตาลง “คะ?” “เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ” “ทำไมล่ะคะ” “โป๊ไปไหมเนี่ย” “คนกันเองทั้งนั้นค่ะ อีกอย่าง.....อย่าลืมนะคะ ว่ามุกใส่ชุดแบบนี้ออกไปห้างสรรพสินค้ากับคุณมาแล้ว” “แต่กางเกงมันไม่สั้นเท่านี้ไง” ดวงตาคมดุกวาดมองไปที่เรียวขายาวสวย ที่เนียนละเอียดจนน่าทำให้มันเป็นรอย “ก็ใส่แล้วมันสบายนี่คะ” ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ “เปลี่ยนครับ” น้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจ้าของเสียงเริ่มอารมณ์ขุ่น “ค่ะ” เสียงหวานใสขานรับ เจ้าของใบหน้าหวานส่งรอยยิ้มให้เขา ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเองแล้วหายไปในห้องแต่งตัว หลังจากที่หญิงสาวเจ้าของบ้านเดินกลับไป เขาก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ล็อกประตูห้องจากด้านใน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ เปิดประตูเชื่อมระหว่างห้องแล้วเดินหายเข้าไปด้านใน ฟาริดาหยิบเสื้อผ้าชุดอื่นมาเปลี่ยน เธอยืนมองดูอยู่สักพักก็หยิบเสื้อแขนกุดสีขาวขนาดพอดีตัว กับกางเกงผ้าขายาวสีเทาเข้มออกมาจากตู้ แล้วก็ยืนชะงักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหมุนตัวเดินหายเข้าห้องน้ำไป ไม่กี่นาทีร่างบอบบางก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่เรียบร้อยขึ้น เมื่อเธอเดินออกมาจากห้องแต่งตัวก็เห็นชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงที่สั่งให้เธอมาเปลี่ยนเสื้อผ้ากำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงนอนของเธอ “พร้อมแล้วค่ะ” “ไป” สองหนุ่มสาวพากันออกจากห้องนอนไป โดยมีเสียงการสนทนาดังขึ้นเป็นระยะ จนกระทั่งลงมาถึงห้องรับแขกก็เห็นว่าวชิรวิษกับหทัยชนกลงมารออยู่ก่อนแล้ว “ช้า” เสียงแซวดังขึ้นทันทีเมื่อหทัยชนกเห็นฟาริดาเดินเข้ามา “พูดมากน่า” ฟาริดาย้อนเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ “เอาล่ะ ทานอะไรกันดี” เสียงนุ่มนวลเอ่ยถามเมื่อลงมากันพร้อมหน้า “ซื้อพวกอาหารทะเลมาย่างไหมล่ะ กับเครื่องดื่มนิดหน่อย” เอลเลริคเสนอเพราะเขาชอบบรรยากาศในสวนตอนกลางคืน “ได้ งั้นนายออกไปซื้อของกับฉัน สาวๆอยู่บ้านเตรียมของ” วชิรวิษรับคำพร้อมกับสั่งไปในทีเดียว “ฉันซื้อไม่เป็น” เอลเลริคบอกหน้าตาเฉย เขาไม่เคยทำเอง มีแต่คนทำให้มาตลอด “อย่าดูถูกฝีมือฉันสิ ไป สาวๆ ฝากที่บ้านด้วยนะจ๊ะ” วชิรวิษยักคิ้ว ก่อนจะหันมาบอกสองสาวแล้วลากให้เอลเลริคเดินตามเขาออกไป สองสาวหัวเราะไล่หลังไป ก่อนจะพากันไปเตรียมพื้นที่สำหรับปาร์ตี้ในคืนนี้ โดยไม่ลืมจัดพื้นที่สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทางด้านสองหนุ่มที่ออกมาที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆเพื่อซื้อเครื่องดื่ม ก็พากันเลือกเครื่องดื่มที่ตนเองชอบ ก่อนจะมารวมตัวกันแล้วพากันกลับมาที่รถเพื่อไปที่ตลาดต่อ “ฉันไม่เคยเดินตลาด” เอลเลริคพูดมาด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม “พูดจริง?” “เออ” “ฉันคือผู้โชคดีสินะ ที่พานายมาเดินตลาดเป็นคนแรก” “หลงตัวเองว่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะมุก ฉันไม่ออกมาหรอกโว้ย” “นายจริงจังกับน้องฉันใช่ไหม?” วชิรวิษถามขึ้นมาเสียงเรียบ อันที่จริงเขาพอมองออก เพราะคนที่กิตติศัพท์ไม่ธรรมดาอย่างเอลเลริคมาเทียวไล้เทียวขื่อน้องสาวเขาแบบนี้ มันแทบไม่มีทางเป็นไปได้ หากชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้จริงจังกับฟาริดา “ใช่ แค่ยังไม่ได้คุยกัน เธอขอเวลากับฉัน เธอคงยังไม่พร้อมจะเข้าใจกับเรื่องนี้ตอนนี้” เอลเลริคยอมรับตามตรง น้ำเสียงเขาจริงจัง โทนเสียงสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าเขาพูดความจริง “มุกเป็นคนเก็บตัวระดับหนึ่ง แต่ถ้าสนิทแล้วยัยมุกจะค่อนข้างสดใส อีกอย่างคือถ้ายัยมุกไว้ใจใครก็จะไว้ใจมากๆ แต่ถ้าโดนหักหลังก็จะจำจนตาย นายอย่าทำให้เธอต้องเสียใจก็แล้วกัน ถ้านายไม่คิดจะจริงจังกับเธอหรือเลิกกับพวกเด็กๆของนายอย่างเด็ดขาด ก็อย่าพาเธอถลำลึกไปมากกว่านี้” วชิรวิษเอ่ยในสถานะพี่ชายที่เป็นห่วงน้องสาว และเป็นญาติใกล้ชิดเพียงคนเดียวที่ฟาริดามี “ฉันรู้น่า นายเห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย” เอลเลริคกรอกตาเล็กน้อย “นายเป็นคนเลว นายก็รู้ว่ากิตติศัพท์ชื่อเสียงของนายเป็นยังไง” เสียงนุ่มนวลเอ่ยพลางยักไหล่ “เคยเลวโว้ย” เสียงทุ้มโวยวายกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “เออ แล้วจะรอดู อย่าคิดจะทำให้น้องฉันเสียใจก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นนายจะต้องรับมือหลายฝ่ายเลย นายก็รู้ว่าพ่อของยัยมุกคือใคร” “อืม ฉันไม่เอาทุกอย่างของฉันมาเสี่ยงหรอก” เอลเลริคตอบวชิรวิษ สีหน้าเขามีแววครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็หายภายในไม่กี่วินาที หลังจากพูดคุยกันสักพักก็มาถึงตลาด วชิรวิษเดินซื้อของโดยมีเอลเลริคคอยช่วยถือ ความที่คนหนึ่งก็หน้าตาหล่อเหลาบุคลิกนิ่งขรึม กับอีกคนหนึ่งก็ลูกครึ่งรูปร่างสูงนัยน์ตาสีเฮเซล ทำให้ทั้งสองหนุ่มเป็นเป้าสายตาจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้ารวมถึงบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่มาเดินซื้อของในตลาดไม่น้อย “รีบกลับเถอะ ฉันขอล่ะ” เอลเลริคที่เริ่มขยาดกับสายตาที่จ้องมองก็รีบเอ่ยชวนให้วชิรวิษกลับ “เออๆ จะครบแล้ว” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของเอลเลริค เมื่อซื้อของเสร็จก็พากันเดินกลับไปที่รถ หลังจากสำรวจข้าวของที่ซื้อมาว่าครบถ้วนแล้วก็กลับขึ้นรถ จากนั้นเอลเลริคที่เป็นคนขับในขากลับก็ขับออกไป ทางด้านฟาริดากับหทัยชนก หลังจากเตรียมสถานที่เรียบร้อยแล้วก็พากันนั่งรับลมอยู่ที่สวนระหว่างรอ “ได้คุยกันหรือยัง” หทัยชนกถามเพื่อนด้วยความอยากรู้ “จะไปคุยกันตอนไหนล่ะ กลับมาก็แยกย้ายกันแล้วก็ลงมาเนี่ย” เสียงหวานใสตอบตามความจริง “แล้วทำไมลงมาช้า” เธอยังอดสงสัยไม่ได้จึงถามออกไป “โดนสั่งเปลี่ยนเสื้อผ้า” ฟาริดาตอบเพื่อนพลางกรอกตา “มิน่าล่ะ วันนี้ถึงเรียบร้อยเชียว” หทัยชนกหัวเราะเมื่อรู้คำตอบ “พูดมากน่า เธอก็รู้ ว่าฉันไม่ใช่คนเรียบร้อย” หญิงสาวพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “ร็ แต่คนอื่นไม่มีใครรู้หนิ อ้อ พี่คิวรู้” “แน่สิ พี่ชายฉันนี่” สองสาวพูดคุยกันพลางหัวเราะเสียงดัง เมื่อพวกเธอเริ่มนินทาหนุ่มๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่ารถยนต์คันหรูได้เคลื่อนตัวเข้ามาในบริเวณบ้านแล้ว “เฮ้ นินทาผมเหรอคุณ” เอลเลริคแกล้งส่งเสียงเข้ม เมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้วได้ยินเสียงสองสาวคุยกัน “ไม่ได้เรียกว่านินทาค่ะ เรียกว่ากล่าวถึง” ฟาริดาทำตาใสใส่เขา “.....” คนตัวสูงยืนมองหญิงสาวด้วยความพูดไม่ออกกับการเถียงของเธอ “เอาล่ะ ของพร้อมแล้ว สาวๆย่างอาหารไปนะ เดี๋ยวพี่ทำน้ำจิ้มให้” วชิรวิษเอ่ยสั่งสองสาว หลังจากที่ถือของที่เขาล้างให้แล้วออกมาให้วางบนโต๊ะข้างเตาย่าง “ฉันล่ะ” เขาถามบ้าง “นายอยู่เฉยๆไปเถอะ” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไป ฟาริดาหัวเราะเมื่อเห็นเอลเลริคยืนงง เขาคงไม่คิดว่าจะมีใครกล้ามาสั่งหรือพูดล้อเล่นกับเขา เพราะแม้แต่อีริคที่ทำงานกับเขามานานยังไม่กล้า หรืออีธานที่สนิทกับเขายังไม่เคยทำ “เลิกอึ้งแล้วมาช่วยกันค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเรียกเขาเสียงหวาน “ฉันดูไร้ประโยชน์ขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาถามเธอด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “พี่คิวปากร้ายกว่าที่คุณคิดค่ะ” หทัยชนกตอบแทนฟาริดา เมื่อเพื่อเอาแต่อมยิ้ม “ให้ตายเถอะ แทบไม่น่าเชื้อว่าพวกคุณนี่เชื้อสายจ้าวนะ ปากร้ายกันมากเลย” เอลเลริคพูดเสียงดังเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นมาช่วยสองสาวจัดการอาหารที่ต้องทำ “พวกเรามีอะไรมากกว่าที่คุณเห็นค่ะ” ฟาริดาตอบยิ้มๆ มือเล็กจับที่คีบอาหารพลิกกุ้งไปมาเพื่อไม่ให้มันไหม้ เสียงสนทนาเบาลง เมื่อหนุ่มสาวช่วยกันจัดการกับสิ่งที่ต้องทำตรงหน้า ไม่นานวชิรวิษก็เดินออกมาพร้อมกับถาดในมือ ที่มีถ้วยน้ำจิ้ม 2 ใบกับผักแกล้มอยู่ในนั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม