เพลิน เพลินเภรี เจ้าของลูกเตะเจ้เภเพลินสุดร้ายกาจเมื่อวัยเยาว์ และเจ้าของฉายา เจ้เภเพลินสตรีศรีอัมพวา เจ้เภเพลินลุยสวน เจ้เภเพลินดีดเด้ง เจ้เภเพลินโอ่งแตก อยู่ในชุดนักศึกษา กระโปรงพลีทยาวคลุมเข่า ตามระเบียบของนักศึกษาปี 1
“ปังคุงตื่น” ร่างเล็กบอบบางร้องเรียกร่างสูงที่หลับใหลบนโซฟา หลังจากวางกระเป๋ากับหนังสือบนโต๊ะ
“ปังคุงตื่นได้แล้ว” เมื่ออีกฝ่ายยังนอนนิ่ง เสียงเรียกนั้นก็ดังขึ้น
“ขออีกห้านาที” ไฟท์เตอร์พลิกตัวนอนคว่ำ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะ หนีการรบกวน เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตี 3 เพราะเพลินเอาแต่ร้องครวญครางปวดท้องประจำเดือน แต่เช้ามากลับมีแรงเรียกเขาเสียงสดใส
“ไม่ได้ เดี๋ยวไปสอบไม่ทัน ปังคุงหนึ่ง” เพลินพยายามดึงผ้าห่มออกจากตัวคนพี่ แต่อีกฝ่ายก็จับยึดไว้แน่น
“ปังคุงสอง”
“จะไม่ตื่นใช่ไหมปังคุง” เสียงนั้นกลายเป็นข่มขู่ หากไม่รีบตื่นขึ้นมา โดนแน่
“ได้ ปังคุงสาม” ไม่ให้เสียชื่อเจ้เภเพลิน ที่เก่งฟิสิกส์มาตั้งแต่เด็กๆ คำนวณระยะโจมตีได้อย่างแม่นยำ เพลินถอยหลัง 3 ก้าวตั้งหลัก สองมือจับกระโปรงถลกขึ้น แล้วกระโดดตัวลอย
“โอ๊ยเพลิน หลังหักแล้วมั้ง” ร่างเล็กที่โถมตัวนั่งคร่อมแผ่นหลังกว้างทำจุกไม่น้อย
“ก็เรียกแล้วไม่ตื่นเล่า” คราวนี้เพลินสามารถดึงผ้าห่มออกจากศีรษะคนพี่ได้อย่างง่ายดาย
“ลุกหน่อย” เพลินโหย่งตัวตามที่คนเป็นพี่บอก รอคอยให้ร่างสูงพลิกตัวนอนหงาย แล้วจึงหย่อนตัวลงนั่งทับหน้าท้องแกร่ง
“หิว”
“ตกลงที่ปลุกเพราะหิว?” ไฟท์เตอร์เหลือบมองนาฬิกา บ่งบอกเวลา 6.30 น. เท่านั้น
“ไม่มีอาหารไปเลี้ยงสมอง เดี๋ยวสอบไม่รู้เรื่อง”
“น้าแคน น้ามด หรือแม้แต่ทวดขิมก็ทำอาหารเก่งทุกคน ผ่าเหล่าผ่ากอมาไง หืม?” ไฟท์เตอร์ยื่นมือไปบีบแก้มเนียนข้างหนึ่งด้วยความมันเขี้ยว พ่อแม่ หรือแม้แต่ทวดของเพลินล้วนมีฝีมือทำอาหาร และเป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อดังแห่งอัมพวา แต่เพลินกับไม่มีฝีมือทำอาหารเอาเสียเลย
“สงสัยลืมเสน่ห์ปลายจวักไว้ในท้องแมแม่” พูดพร้อมลุกออกจากร่างแกร่ง นั่งขัดสมาธิบนโซฟา ในขณะที่คนพี่ลุกขึ้นนั่ง ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ไม่ได้ทำให้ความหล่อลดลงเลย
“นั่งให้มันดีๆ แล้วอยากกินอะไร” ไฟท์เตอร์ดึงชายกระโปรงของคนน้องให้ปิดคลุมขาขาว ก่อนจะเท้าแขนกับพนักโซฟา มองหน้าคนหิว เมื่อก่อนกินเก่งยังไง ตอนนี้ก็ยังกินเก่งเหมือนเดิม นึกสงสัยว่าทำไมไม่ตุ้ยนุ้ยเหมือนก่อน
“ขนมหม้อแกงแม่พุดจีบ”
“สอบเสร็จพาไปกิน”
“ต้องกินที่อัมพวาด้วยนะ”
“แน่นอนสิ งั้นเช้านี้กินข้าวต้มที่เหลือเมื่อคืนไปก่อนนะ”
“งั้นเพลินอุ่นให้ พี่ไฟท์ไปอาบน้ำแต่งตัวเลย”
“ทีแบบนี้พี่ไฟท์ เพลินรอกินอย่างเดียวพอ เดี๋ยวไฟไหม้ห้อง” พอคนพี่ทำถูกใจ ตามใจ หรือตอนอ้อน ก็จะเรียกพี่ไฟท์ และแน่นอนว่าเรื่องฟืนไฟกับคุณเพลินเภรีไว้ใจไม่ได้
“งั้นเพลินอ่านหนังสือรอ” เพลินเอื้อมมือไปหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านระหว่างรอคนพี่อุ่นข้าวต้ม
“พี่ไฟท์”
“ว่า?” เสียงตอบรับดังมาจากห้องครัว ขณะสาละวนอุ่นข้าวต้ม และเตรียมภาชนะ
“วันนี้พี่ไฟท์ต้องไปรับแฟนไหม”
“ไม่มีแฟน”
“ทำไมอ่ะ” เพลินวางหนังสือ หันไปมองคนพี่
“เลิกกันแล้ว” เสียงนั้นไม่ได้มีความรู้สึกเสียใจ หรือผิดหวังในความรัก
“เลิกอีกละ อย่าบอกนะว่าเลิกกันเพราะเพลิน ต้องใช่แน่ๆ เพราะเพลิน พี่ไฟท์เลยไม่ได้ไปดูหนังกับแฟน” เพลินนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานพี่ไฟท์เตอร์บอกจะไปดูหนังกับแฟน แต่เธอก็ปวดท้องประจำเดือนเสียก่อน
“ถ้าจะไม่มีเหตุผล ก็เสียเวลาเปล่าที่จะคบ” ไฟท์เตอร์ยกถ้วยข้าวต้มมาวางบนโต๊ะตรงหน้าคนน้อง
“แต่ถ้าเพลินไม่ปวดท้อง พี่ไฟท์ก็ไม่ต้องเลิกกับแฟน” ที่พี่ไฟท์เตอร์เลิกกับแฟน สาเหตุเป็นเพราะต้องมาหาตน จนผิดนัดดูหนังเป็นแน่
“อย่าพูดเหมือนตัวเองผิด เพราะไม่ใช่ความผิดของเพลินเลย ถ้าจะไปด้วยกันไม่ได้ก็เป็นเพราะตัวพี่กับเขา หิวก็กิน ระวังร้อนด้วยละ พี่ไปอาบน้ำก่อน” ไฟท์เตอร์วางมือบนศีรษะเล็ก โยกคลอนเบาๆ ก่อนจะเดินไป
“อืม” แม้คนพี่จะบอกว่าไม่ใช่ความผิดตน แต่เพลินก็อดคิดไม่ได้ ทุกครั้งที่พี่ไฟท์เตอร์เลิกกับแฟน ก็หลังจากมาหาเธอ ตัวต้นเหตุของการเลิกลาก็คือเธอ