ปอร์เช คาเยนน์สีขาวถอยเข้าจอดราวเกือบสามทุ่ม…
ภารัณหอบซองเอกสารจากบริษัทเดินจ้ำอ้าวเข้าคฤหาสน์ก็พบใครคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือที่โซฟา เธอทิ้งภาระติดพันในมือ ลุกเดินมาหาเขา ร่างบางเอียงหน้าซุกอกอุ่น ด้วยความสูงที่ห่างกันเกือบยี่สิบเซนติเมตรทำให้ใบหน้าหญิงสาวอยู่ในตำแหน่งหัวใจ พอดิบพอดี
“เหนื่อยไหมพี่รัณ” เสียงหวานข้างหูเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจให้ชุ่มชื้น
แค่มีคนตัวเล็กในอ้อมกอดปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภารัณรู้สึก หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ท่าทางน่ารักค่อยๆ กะเทาะเปลือกหัวใจที่แข็งกร้าวให้อ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่เท่าไร” หนุ่มหน้านิ่งตอบเสียงเรียบ แต่ไม่ลืมกดจูบตรงขมับคนตัวเล็ก
“พี่รัณกินอะไรหรือยังคะ หิวหรือเปล่า วันนี้นมนุ่มทำสปาเกตตีมะเขือเทศฟ้าแบ่งซอสไว้เรียบร้อย ส่วนเส้นก็ลวก แป๊บเดียวเอง”
ไร้สัญญาณตอบกลับจากคุณสามี เมื่อเห็นเขาทำทีคิดนาน หญิงสาวจึงกระเซ้าว่า
“กินหน่อยน้า จริงๆ ขอสารภาพฟ้าแอบช่วยนมนุ่มเข้าครัวด้วยแหละ” เธอยิ้มอ้อน เพราะเหตุนี้สินะทั้งวันถึงไม่มีเวลาแม้แต่ส่งข้อความหาเขา ฟ้ารดาไม่เห็นใจคนรอบ้างเลย
“เอาไงดี พี่ควรเสี่ยงหรือเปล่า” ชายหนุ่มแกล้งถอนหายใจ เฮือกใหญ่ คิ้วเข้มขมวดตั้งข้อสงสัย
“แน่ใจนะว่ากินไปจะไม่ท้องเสีย”
“พี่รัณ ทำไมพูดงี้ล่ะ”
คนตัวเล็กกอดอกจ้องตาเขม็ง ปากแดงคว่ำลงแสดงท่าทาง แง่งอน ปฏิกิริยาตอบสนองแสนน่ารักจนอยากแกล้งต่อ ตอนนี้สายตาภารัณที่มองฟ้ารดามีแต่คำว่าน่ารัก… น่ารักเต็มไปหมด
“สรุปจะกินไหมเนี่ย ถ้าไม่กินฟ้าจะขึ้นไปอาบน้ำนอนแล้ว”
“ถามแบบนี้คืองอนเหรอ”
“เปล่า ใครงอน ไม่มี” เธอส่ายหน้าปฏิเสธเสียงสูง
“กินสิ พี่ท้องร้องจะแย่แล้ว”
คนขี้แกล้งเอ่ยพลางยิ้มร่า สุดท้ายมือหนาก็หมุนหัวไหล่บางบังคับเดินตรงไปทางห้องอาหาร เพราะอยากดื่มด่ำดินเนอร์ยามค่ำกับแม่ครัวสุดสวย
ฟ้ารดาร่าเริงเช่นนี้ชายหนุ่มเองก็พลอยโล่งใจ แท้จริงภารัณไม่ชอบท่าทางไร้ชีวิตชีวาเมื่อหลายเดือนก่อนเลยสักนิด แม้ หญิงสาวจะทำหน้าที่ภรรยาได้ดีไม่มีบกพร่อง แต่คนอยู่ด้วยกันทุกวันสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงซึ่งก่อตัวขึ้นเงียบๆ ราวคลื่นใต้น้ำ เธอพยายามหลอมตนเองจนกลายเป็นเจ้าหญิงน้ำแข็ง รอบกายจึงเต็มไปด้วยกลุ่มก้อนความเย็นชา
“มาแล้ว” เสียงสาวน้อยทำเขาหลุดภวังค์ มือหยิบส้อมบนโต๊ะก่อนม้วนเส้นสปาเกตตีกัดชิมคำเล็กๆ
“อร่อยเปล่า”
ภารัณเคี้ยวได้ไม่ทันไรแม่ครัวฝั่งตรงข้ามก็ถามขึ้นมา เธอ ยกมือเท้าคางแววตาลุ้นระทึกจ้องหน้าสามีอย่างใคร่รู้
“ไม่อร่อยเหรอพี่รัณ หรือเส้นอืดเกินไป”
พอเขาเงียบความมั่นใจอันน้อยนิดดิ่งลงเหวทันที
“ฟ้าเอาไปเปลี่ยนใหม่ดีกว่า เดี๋ยวเรียกแม่บ้านมาต้มเส้นให้พี่นะที่ฟ้าทำคงอืดเกินไป”
มือบางเอื้อมไปยังจานอาหารตรงหน้า แต่มีหรือเสือหนุ่มจะยอม อะไรที่ได้ลิ้มลองเขาไม่มีทางปล่อยให้ใคร
“อร่อย” เสียงทุ้มกล่าวก่อนเอื้อมมือโยกหัวเธอเบาๆ
“พี่ชอบมาก วันหลังทำให้กินอีกนะเอาเมนูอื่นบ้าง”
เมื่อพยักหน้าตอบรับแววตาเธอก็ส่องประกายสดใส ดวงตา ทั้งคู่สบกันเพียงไม่นานก่อนค่อยๆ ผุดรอยยิ้มกว้าง
บรรยากาศในห้องอาหารมื้อค่ำหวานฉ่ำจนคนแอบมอง กำหมัด ร่มฉัตรหมุนกายหนีรวดเร็ว สีหน้าหล่อนเคร่งเครียด นับวันภารัณยิ่งถลำลึกกับเด็กคนนั้นมากขึ้นทุกที ถ้าขืนปล่อยชายหนุ่มเป็นเช่นนี้ ต่อไปปลายทางที่วางไว้จะสำเร็จได้อย่างไร
แต่หล่อนก็ถอนตัวไม่ได้เพราะเป้าหมายใหญ่ยังไม่เรียบร้อยดี สุดท้ายจำต้องกัดฟันทนต่อ ด้วยเชื่อว่าอีกไม่นานสิ่งที่หมั่นทำ ทุกวันจะสัมฤทธิ์ผล และถ้าสำเร็จเมื่อไรมั่นใจว่าความเจ็บที่เคยเผชิญมาจะมอดดับไปทันที
แสงไฟชั้นล่างในคฤหาสน์หรูถูกเปิดทิ้งไว้เพียงไม่กี่ดวง ขณะที่ผู้อาศัยทุกคนต่างทยอยทำกิจวัตรประจำวันของตัวเอง มือนุ่มเอื้อมเปิดประตูห้องพาสองเท้าก้าวเข้าไปช้าๆ จากนั้นก็ตวัดตามองหญิงสาวซึ่งถือถาดยาเตรียมฉีดให้ร่างที่นอนแน่นิ่งบนเตียง
“คุณคือพยาบาลพิเศษที่คุณฉัตรจ้างมาใช่ไหมคะ”
เมื่อฟ้ารดาถาม หล่อนพยักหน้าพลางหลุบมองต่ำไม่กล้าเอ่ย ความจริง เพราะถูกคุณผู้หญิงของบ้านสั่งไว้ แท้จริงร่มฉัตร แสดงละครตบตาทุกคนเรื่องที่บอกว่า จะหาหมอมือดีและ นางพยาบาลประจำมาคอยดูแลและรักษาอาจหาญ ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่หลอกลวง
หล่อนไม่ได้มีทักษะการพยาบาล แต่เป็นแค่พนักงานเสิร์ฟในผับแห่งหนึ่งซึ่งบุญหล่นทับมาเจอร่มฉัตรจึงรับจ้างสวมรอย
หล่อนเพียงทำตามที่ได้รับคำสั่ง แถมยาที่หมั่นฉีดประจำก็ไม่รู้ได้ผลมากน้อยเพียงใด ไม่รู้แพทย์ผู้สั่งยาคือใคร ร่มฉัตรบอกแค่กระบวนการรักษาที่ทำอยู่นั่นดีที่สุดและปิดปากหล่อนด้วยเงิน ก้อนโต แต่ถ้ามันวิเศษจริงชายชราคงมีปฏิกิริยาตอบสนองบ้าง ไม่ใช่นอนเป็นผักจนร่างกายซูบเซียวลงเช่นนี้
“ไม่ได้ยินที่ฟ้าถามเหรอคะ คุณเป็นคนที่ฉีดยาให้คุณพ่อ ใช่ไหม”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจริงจัง ไม่เหลือมาดคุณหนูผู้ใสซื่อและความจำเสื่อมคนนั้น บางทีคนรวยก็เข้าใจยากเสียจริง
“ใช่ค่ะ ฉันชื่อแก้วตา ตอนนี้คุณความจำเสื่อมคงจำไม่ได้แต่เราเคยเจอกันแล้ว”
หลายเดือนก่อนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ แก้วตาเจอฟ้ารดาบ่อยครั้งก็จริง แต่เจ้าหญิงน้ำแข็งของบ้านมีสีหน้าอมทุกข์เสมอ เธอไม่พูดจากับใคร วันๆ เห็นเอาแต่ร้องไห้ในห้องนอน รอคอยสามีจนพวกสาวใช้ลือกันให้สนุกปาก
“คุณมาเฝ้าคุณท่านบ่อยช่วงหลัง แรกๆ ฉันเห็นคุณร้องไห้หนักคงทำใจไม่ได้ที่ท่านนอนป่วยแบบนี้”
แก้วตารู้สิ่งไหนควรหรือไม่ควรพูด ดังนั้นหล่อนจึงไม่กล่าวถึงสงครามเย็นระหว่างฟ้ารดาและชายผู้เป็นสามี เพราะตอนนี้พวกเขาก็รักกันดีเหมือนเดิม
“งั้นตอนนั้นฉันคงเสียใจเรื่องคุณพ่อมาก”
ฟ้ารดาแค่นยิ้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลประกายสดใสบัดนี้ดู หม่นเศร้าราวกับคนละคน
“ค่ะ”
แก้วตาตอบสั้นๆ ฟ้ารดาเสียใจเรื่องอาจหาญก็จริง แต่ส่วนมากผู้หญิงคนนี้มักจะมาระบายความทุกข์เกี่ยวกับภารัณมากกว่า หรือไม่ก็นอนเฝ้าบิดาบนโซฟาด้วยความคิดถึงจนเช้า เพราะก่อนหน้านี้แต่ละวันของเธอเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและรอยน้ำตา การมีชีวิตไม่ต่างกับเจ้าหญิงบนหอคอย กอดก่ายความเจ็บช้ำคนเดียวในคฤหาสน์หลังใหญ่ดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย ทั้งที่มันน่าจะเป็นความฝันของหญิงสาวหลายคน แต่ฟ้ารดาในห้วงเวลานั้นถือทะเบียนสมรสรับบทเมียหลวงแสนเพอร์เฟกต์ แต่หน้าชื่นอกตรมเรื่องสามี
“คุณฟ้าอยากคุยกับท่านหน่อยไหมคะ ฉันจะออกไปรอ ข้างนอก”
“ขอบคุณนะคะ งั้นฉันขออยู่กับคุณพ่อสักหน่อยดีกว่า”
“ยินดีค่ะ” นางพยาบาลกำมะลอยิ้มรับ
“อีกเรื่องค่ะ ฉันอยากรู้เกี่ยวกับข้อมูลคุณหมอของคุณพ่อ ปกติเราให้ท่านรักษาตัวที่ไหนเหรอคะ ฉันเองจำเรื่องนี้ไม่ได้เลย” มือบางยกกุมขมับเบาๆ แววตาเศร้าสบตาแก้วตา
“อะ…เอ่อคุณฟ้าถามคุณฉัตรดีกว่าค่ะ เรื่องนี้ฉันไม่รู้”
แก้วตากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่ใช่ว่าไม่เห็นใจ หญิงสาว แต่หล่อนเองก็มีภาระทางบ้านที่ต้องดูแล ถ้าขืนเล่า ความจริงหล่อนซวยแน่ เพราะแม้ลาออกจากงานประจำมาสวมรอยได้รับเงินก้อนโตก็จริง แต่ใช่ว่าจะพอกินพอใช้ และเมื่อร่มฉัตรรู้เรื่องนี้จึงยื่นความช่วยเหลือให้เงินเดือนต่อเดือนไม่เคยขาด คุณนายกำชับเพียงต้องทำหน้าที่รักษาความลับให้ดี
“ค่ะ ฉันนึกว่าคุณแก้วเป็นพยาบาลที่นั่นซะอีก”
“ไม่ใช่ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
“ค่ะ”
เมื่อหันหลังออกนอกห้อง แก้วตาสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างซึ่งไม่ปกติเอาเสียเลย หล่อนกำมือแน่นจนชื้นเหงื่อ สมองพลันคิดไปถึงผลลัพธ์อันร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ถ้าวันใดวันหนึ่งฟ้ารดาสงสัยกระทั่งสืบหาความจริง จุดจบข้อหาหลอกลวงไม่พ้นคุกแน่
เช้าวันถัดมา…
ดวงตาคู่คมเบิกกว้างรูม่านตาขยายรับแสงอาทิตย์ยามเช้า ชายหนุ่มขยับตัวขับไล่ความเกียจคร้าน ท่อนบนเปิดเปลือยแผงอกซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม แต่ท่อนล่างสวมกางเกงผ้าแพรสีอ่อน
“ตื่นแล้วเหรอคะ” หญิงสาวในชุดเดรสลายเดซี่ตัวยาวก้าวเท้าปรากฏตัว
“นั่งนี่สิ” ภารัณเขยิบชิดหมอนข้าง ก่อนตบเบาะข้างตัว เชื้อเชิญทางอ้อม
“ทำไมพี่รัณอ้อนแต่เช้า” ริมฝีปากอมชมพูเม้มแน่น แต่ทำตามสิ่งที่เขาร้องขออย่างว่าง่าย
“ไม่ไปภูเก็ตกับพี่จริงดิ”
เมื่อคืนก่อนหลับชวนเธอไปหนึ่งรอบ แต่กลับได้รับท่าทีลังเลเหมือนคิดอะไรบางอย่าง เธอคงไม่กล้าบอกเขา
“มีอะไรหรือเปล่าฟ้า” มือสากจับใบหน้างาม
“บอกพี่ได้นะ”
“จริงๆ วันนี้มีนัดกับพี่วีค่ะ พี่หมอจะแนะนำเพื่อนสนิทที่เป็นสูตินรีแพทย์ให้ฟ้ารู้จัก ที่ฟ้าไม่บอกเรื่องนี้กับพี่รัณ เพราะเห็นพี่ยุ่งๆ แต่นัดครั้งนี้ฟ้าก็เลื่อนไม่ได้เหมือนกัน”
“ฟ้าเกรงใจอะไรพี่หรือเห็นพี่เป็นคนนอก”
ภารัณระบายลมหายใจด้วยอารมณ์หงุดหงิด แท้จริงวันนี้ ฟ้ารดารับนัดหมอปฐวีเพื่อปรึกษาเรื่องความคืบหน้าของการตั้งครรภ์นั่นแปลว่าอีกฝ่ายต้องรู้เรื่องลูกเป็นคนแรก ไม่ใช่พ่อ อย่างเขา
“ฟ้าไม่ได้คิดแบบนั้นนะก็เมื่อคืนพี่รัณดูยุ่งเรื่องงานมาก ฟ้าแค่ไม่กล้ากวน” แววตาเธอไหววูบสะท้อนความรู้สึกผิดก่อนหลุบลงจนคนมองใจอ่อน
ฟ้ารดานุ่มนิ่มแบบนี้เขาจะโกรธลงได้อย่างไร สุดท้ายก็เอนศีรษะนอนบนตักคว้ามือบางขึ้นมากดจูบ
“ไว้คราวหน้าเราไปด้วยกันนะ ครั้งนี้พี่ยุ่งเรื่องงานฟ้าไม่ผิดหรอก”
“แสดงว่าพี่รัณหายงอนฟ้าแล้วใช่ไหม”
“เปล่า”
“โห เรารึอุตส่าห์ดีใจนึกว่าจะให้อภัยกัน”
“พี่หายแน่แต่ขอ…” คนเจ้าเล่ห์ไม่พูดเปล่าแต่จิ้มนิ้วลงบน ริมฝีปากตนแทน ฟ้ารดาเห็นก็อมยิ้มทำท่าทีครุ่นคิด เพียงไม่นานเธอก็โน้มใบหน้าจรดจูบแผ่วเบา
“มอร์นิงคิสค่ะ”
“จูบอนุบาลมาก แค่นี้ไม่พอหรอกต้องบดขยี้อีกนิดมามะเดี๋ยวพี่สอนเอง”
“พี่รัณ พูดอะไรเนี่ย!”
แก้มสาวร้อนวูบ มือนุ่มฟาดแผงอกคนมากเล่ห์
“ลุกเลย ฟ้าจะไปเตรียมชุดทำงานให้พี่”
“ก็ได้”
ชายหนุ่มบิดขี้เกียจก่อนพาตัวลุกขึ้นนั่ง มือสองข้างแนบลำตัว ไม่ทำรุ่มร่ามอย่างเคย ไม่รู้ทำไมครั้งนี้เสือร้ายถอยทัพและยกธงขาว อย่างว่าง่าย แต่จะเพราะเหตุใดก็ตามฟ้ารดาไม่เก็บมาคิดมาก หญิงสาวยืนขึ้นโดยไม่รู้ตัวว่าตนเองหลงกลกับดับที่เขาวางไว้
มือแกร่งดึงแขนขาวส่งผลให้คนตัวเล็กเบิกตาขึ้น เธอเกือบถลาลงบนที่นอนแต่คว้าไหล่กว้างเป็นหลักยึดไว้ได้ทัน และในจังหวะนั้นเองภารัณก็ประกบจูบเข้ามา
เขาจูบเธออย่างเร่าร้อน ปลดปล่อยความดิบเถื่อนซึ่งเก็บซ่อนไว้เนิ่นนาน ชายหนุ่มบดขยี้กลีบปากสีกุหลาบตามแบบฉบับจูบ ไม่อนุบาล จากนั้นลิ้นสากก็เข้าไปช่วงชิงความหวานละมุนในโพรงปากอุ่นชื้น
ภารัณตวัดลิ้นเคล้าคลึงจนหญิงสาวเคลิ้มตามและเผยอปากขึ้น สองกายกอดก่ายต่างเติมเต็มทุกสัมผัสที่ปรารถนา แต่สุดท้ายเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกข้างเตียงดังขึ้นจำต้องผละจากกันอย่างอ้อยอิ่ง
“กลับมาแล้วพี่จะสอนจูบแบบไม่อนุบาลใหม่นะ”