เช้านี้เป็นเช้าที่ค่อนข้างวุ่นวายสำหรับอัยยา เพราะต้องเตรียมแผนการโปรโมตนักแสดงที่เซ็นสัญญาเข้าสังกัดอิศราคอร์ปชุดแรก เพื่อนำเสนอทีปต์ซึ่งเป็นเจ้านายโดยตรงของเธอ เสียงโทรศัพท์มือถือจึงดังไม่หยุดตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา มีทั้งรายการโทรทัศน์ ผู้จัดละคร แบรนด์สินค้า โฆษณาและงานอีเวนต์ ติดต่อร่วมงานกับดาราดังๆ ในสังกัด
โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เธอกดรับสายขณะคว้าแก้วกาแฟที่ทีปต์สั่งให้คนส่งมาให้ขึ้นจิบ เข้าใจว่าคงเป็นจะเป็นผู้จัด ทีมงานหรือไม่ก็เจ้าของสินค้าแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง
“สวัสดีค่ะ”
“เสาร์นี้มาร่วมงานวันเกิดคุณย่าด้วย”
หัวคิ้วของเธอพลันกระตุก สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงกระโชกดังมาจากปลายสาย ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ เธอก็จำได้ว่าเป็นใคร
“แม่คุณไม่ใช่ย่าฉัน ทำไมฉันต้องไปด้วยล่ะ”
“นังเด็กเหลือขอ แกอย่ามายอกย้อนให้มากความ ฉันสั่งให้มา แกก็ต้องมา!”
อีกฝ่ายตะโกนกร้าวกลับมา ทำเอาเธอต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู ก่อนจะหัวเราะหยันเสียงเย็น
“คุณสิทธา... คุณมันก็แค่ผู้ชายที่ปอกลอกสมบัติของแม่ฉัน มีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉันไม่ทราบ”
“ฉันมีสมบัติที่แม่ของแกหวงแหนอยู่ในกำมือ แกว่าฉันมีสิทธิ์จะสั่งแกได้รึยัง?”
น้ำเสียงแหบห้าวแต่ทรงอำนาจเอ่ยขึ้น ทำให้อัยยาเม้มปากแน่น โทรศัพท์ที่กำอยู่แทบจะถูกบีบให้แหลกคามือ เธอเกลียดในความเจ้าเล่ห์และชอบเหยียดหยามคนของหญิงชราผู้นี้เข้าไส้ ประภามักยกจุดตายมาโจมตีเธอเสมอ เธออยากจะบู๊ให้แหลกกันไปข้างหนึ่งเลย แต่เพราะยังทำใจปล่อยเรือนหลังเล็กไปไม่ได้จริงๆ เธอจึงต้องยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกคราว
“ต้องการให้ฉันทำอะไรก็ว่ามา” เธอกัดฟันถาม
“แกต้องมาเป็นพยานในการประกาศแต่งงานของชนนท์กับยัยแพร”
“ทำไมฉันต้องไปด้วย อยากแต่งก็แต่งกันไปสิ เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“งานนี้จะมีผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนมาร่วมงาน ถึงตอนนั้นถ้ามีใครมาถามแก แกก็ต้องบอกไปว่าแกกับชนนท์เลิกรากันไปนานแล้ว คู่หมั้นของเขาก็คือยัยแพร ไม่ใช่แก เข้าใจไหม”
อัยยาแค่นเยาะ นี่สินะ...เหตุผลที่แท้จริงของการบังคับให้เธอไปร่วมงาน การหมั้นหมายของเธอกับชนนท์มีผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกันรับรู้และร่วมเป็นสักขีพยานอยู่ไม่น้อย ประภาคงกลัวหลานสาวจะตกเป็นขี้ปาก และยิ่งกลัวจะไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย หากรู้ว่าพวกเขามีส่วนร่วมในการสนับสนุนให้หลานสาวแย่งคู่หมั้นของเธอไปอย่างหน้าด้านๆ ก็เลยคิดใช้เธอเป็นเกราะกำบังให้ชนนท์กับแพรวารอดพ้นจากคำครหา
“ในเมื่อกล้าทำเรื่องชั่วๆ ทำไมถึงไม่กล้ายอมรับล่ะ”
“แทนที่แกจะเที่ยวโทษคนอื่น ฉันว่าแกยอมรับความจริงดีกว่านะ ผู้ชายเขาไม่เอาแกแล้ว ก็แปลว่าแกไม่มีน้ำยาเอง นี่ฉันอุตส่าห์สงสารช่วยแกหาทางลงแบบสวยๆ จะได้ไม่ต้องอับอายขายขี้หน้าคนอื่น แกก็ควรจะสำนึกไว้ให้มากๆ”
อัยยาโกรธจนกัดฟันแน่น เจอคนช่างแถชอบกลับดำให้เป็นขาวมาก็มาก แต่ไม่มีใครที่ไร้ยางอายเท่ากับคนพวกนี้เลย
“แล้วถ้าฉันบอกว่าไม่ไปล่ะ”
“ไม่มาก็ได้ ถ้าแกไม่ต้องการของรักของหวงของแม่แกแล้วละก็”
“หน้าด้าน!”
เธอสบถอย่างเหลืออด แต่เสียงจากปลายสายกลับหัวเราะอย่างไม่สะท้านสะเทือน
“อยากด่าอะไรก็ด่าไปเถอะ เพราะผลสุดท้ายแกก็ต้องแพ้พวกฉันอยู่ดี”
อัยยาข่มโทสะสุดกำลัง ทั้งที่เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ จวนจะระเบิดเต็มที พยายามหายใจเข้าลึกๆ ไม่ยอมเต้นไปตามเกมของนังเฒ่าเจ้าเล่ห์ให้ยิ่งได้ใจ เธอเงียบอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น
“อย่าลำพองไปนักเลย พวกคุณจะขู่ฉันได้ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นละ”
แวบหนึ่ง... ประภารู้สึกเสียวสันหลังวูบ ราวกับอัยยาเป็นหมาบ้าที่นางไม่อาจควบคุมได้ ไม่รู้จะเกิดบ้าดีเดือดก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
แต่เมื่อนึกถึงไพ่ที่นางถืออยู่เหนือกว่ามันมาก ในใจที่บีบรัดก็ค่อยๆ คลายลง นังเด็กเมื่อวานซีนอย่างมันน่ะหรือจะสู้คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วโชกโชนอย่างนางได้ ไม่ว่าอัยยาคิดจะทำอะไร เพียงแค่อ้าปากนางก็เห็นลิ้นไก่ของมันแล้ว
ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่ต้องกลัว!
“ถึงจะใช้ได้แค่ตอนนี้ แต่ก็เพียงพอแล้ว เสาร์นี้ห้าโมงเย็น ฉันต้องเห็นแก จำเอาไว้!”
ประภาพูดยังไม่ทันจบ อัยยาก็ตัดสายทิ้งอย่างทนไม่ไหว
เธอเกลียดพวกสรณ์สิริ!
เกลียด! เกลียด! เกลียด! เกลียด! เกลียด!
เมื่อไหร่คนชั่วๆ พวกนี้จะตายไปซะให้หมดโลกก็ไม่รู้?