“เปล่า” เธอรีบปรับสีหน้า “โอ. เค. ฉันยอมรับว่าเกิดความผิดพลาดทางเทคนิค คุณต้องการให้ฉันชดใช้ยังไงก็ว่ามา”
ทีปต์มองเธออย่างพินิจครุ่นคิดบางอย่าง ยังไม่ทันพูด สารถีก็ขับรถเข้ามาเทียบท่ารับเขา ประตูถูกเปิดด้วยมือเขาโดยไม่รอคนรถ ยัดร่างปราดเปรียวเข้าไปข้างใน ก่อนที่จะเบียดตามเข้าไปติดๆ
“ออกรถ”
เสียงสั่งการดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงแว้ดของเธอ
“นี่! คุณจะพาฉันไปไหน ฉันไม่ไป ปล่อยฉันลงไปนะ”
“คุณยังไปไหนไม่ได้ จนกว่าเราจะคุยกันจบ”
“เราคุยกันข้างนอกก็ได้ ทำไมจะต้องลากฉันขึ้นรถคุณมาด้วยล่ะ”
เห็นเธอมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ ทีปต์ก็ส่งเสียงฮึ่มอย่างไม่พอใจ กล้าดียังไงมามองเขาแบบนี้ เขาต่างหากที่ควรจะไม่ไว้ใจเธอ ผู้หญิงอะไรลื่นเหมือนปลาไหล ถ้าเมื่อครู่เขาไม่รู้ทันเธอก่อนละก็ ป่านนี้ยายปรอทนี่คงหนีไปไกลจนไม่เห็นฝุ่นแล้วละมั้ง
“คุยในนี้แหละดีแล้ว ป้องกันคนบางคนที่คิดจะหนี ไม่ยอมรับผิดชอบ”
อัยยาหน้าหงิก
“เอ๊ะ...คุณนี่ยังไง! ก็บอกแล้วไงว่าฉันจะชดใช้ค่าเสียหายให้ ไม่ต้องมาจับตัวฉันขังกันแบบนี้ก็ได้ปะ”
“คุณคิดจะชดใช้ให้ผมยังไง”
“คุณจะให้ฉันซื้อน้ำหอมขวดใหม่หรือโอนเงินคืนล่ะ บอกเลขที่บัญชีของคุณมา ฉันจะโอนเดี๋ยวนี้เลย”
“แค่เศษเงินไม่ต้องมาคืนผม”
เขาบอกปัดทันที ทำเอาอัยยายิ่งหน้างอง้ำ เธออยากจะจบเรื่องกับเขาให้เร็วที่สุดใจแทบขาด แต่พ่อคนเรื่องมากก็ลีลาท่าเยอะอยู่นั่นแหละ
“งั้นคุณจะเอายังไง"
เขามองเธออย่างชั่งใจ มีความคิดบางอย่าง แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ อยากรอดูให้มั่นใจกว่านี้อีกหน่อย จึงบอกเธอว่า
“ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออก เอาเป็นว่าคุณติดหนี้ผมอยู่ก็แล้วกัน”
“งั้นถ้าคุณรู้เมื่อไหร่แล้วค่อยโทร. บอกฉันแล้วกัน”
อัยยาสรุปพร้อมกับหันไปเปิดประตู แต่ถูกเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์รั้งเอาไว้ พร้อมกับมือที่พุ่งเข้ามากำข้อมือเธอแน่นแสดงเจตนาชัดเจนว่ายังไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ
“เดี๋ยว!”
เธอมองมือเขาแล้วกลอกตา ฉีกยิ้มการค้า ประชดถามเขาว่า
“มีอะไรให้รับใช้อีกคะคุณลูกค้า”
“เรื่องของผมเคลียร์จบแล้ว ทีนี้ก็เรื่องของคุณบ้าง”
“เรื่องฉัน?”
“เมื่อกี้ที่ผมช่วยคุณไว้ คุณจะตอบแทนยังไง”
“ช่วย?” อัยยาทำหน้างง เขามาช่วยอะไรเธอตอนไหน เมื่อไร แต่พอเขาเอ่ยทวนความจำให้เธอขึ้นมาว่า
“ชั้นสิบห้า”
เธอก็ถึงบางอ้อทันที มองเขาอึ้งๆ ผู้ชายคนนี้คิดเล็กคิดน้อยมากไปไหม เธอแค่ขอยืมตัวเขาให้ช่วยเล่นละครเย้ยแฟนเก่านิดๆ หน่อยๆ แค่ยืนนิ่งๆ ไม่ต้องพูดสักแอะ ไม่เหมือนกับเธอที่เปลืองน้ำลายเถียงกับชนนท์ไปหลายก๊อก แค่นี้เขาถึงกับต้องทวงบุญคุณกันเลยหรือ
คนอะไรขี้เหนียวน้ำใจชะมัด!
“โห...คุณ! จะเขี้ยวไปปะ น้ำใจน่ะรู้จักไหม”
ทีปต์ยักไหล่
“ผมเป็นนักธุรกิจ ไม่มีคำว่าน้ำใจ มีแต่กำไรกับขาดทุน”
อัยยาเบ้ปาก ถอนหายใจแรงๆ อย่างไม่สบอารมณ์ ถึงไม่อยากยุ่งกับเขา แต่ใครใช้ให้เธอติดหนี้บุญคุณเขาล่ะ ก็ต้องใช้คืนให้หมด จะได้จบๆ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก
“ก็ได้ ถือซะว่าฉันติดหนี้คุณอยู่สองครั้งแล้วกัน อยากให้ฉันทำอะไรก็บอก”
เหมือนจะมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าคมสัน ก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว ทีปต์ค่อนข้างพอใจกับคำตอบของเธอจึงยอมปล่อยมือออก แต่ยังไม่วายกำชับเสียงหนัก
“อย่าลืมคำพูดตัวเองซะล่ะ”
“ค่าาา...” อัยยาตอบเสียงยานคางด้วยความหมั่นไส้
ทีปต์มองเธออย่างไม่ใส่ใจ เขายังไม่รู้จะใช้เธอทำอะไร แต่มีลางสังหรณ์ว่าสักวันจะต้องได้ใช้ประโยชน์จากเธอแน่ๆ
เมื่อการ ‘เจรจา’ หรือจะพูดให้ตรงอีกหน่อยคือ ‘ขู่เข็ญ’ บรรลุข้อตกลง ชายหนุ่มก็ผ่อนคลาย ลดรังสีความเยือกเย็นลง เอนกายพิงพนักเบาะอย่างสบายๆ สายตาคมกริบมองออกไปนอกกระจก เอ่ยถามเธออย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“บ้านคุณอยู่ที่ไหน”
อัยยาได้ยินแล้วขมวดคิ้ว
“นี่คุณจะตามไปส่องฉันถึงบ้านเลยเหรอ?”
ทีปต์รู้... เธอคงคิดว่าเขาไม่ไว้ใจ เลยคิดจะตามไปจับผิดถึงที่บ้าน ป้องกันไม่ให้เธอหลบหนีเขาไปไหนได้ แต่เขาก็ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดนี้
“ดึกแล้ว เดี๋ยวผมไปส่ง”
อัยยาอึ้งอีกรอบ ไม่แน่ใจว่าหูฝาดรึเปล่า เมื่อกี้พ่อคนหน้านิ่งยังขู่เอาๆ อยู่เลย ตอนนี้สมองกลับนึกใจดีจะไปส่งเธอถึงบ้านเสียอย่างนั้น