ความเย็นชา
“พี่ใจขอยืมค่ะ”
“ยืมทำไม” น้ำเสียงเขาเข้มขึ้น สีหน้าฉายความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
“ยะ...ยืมไปใช้หนี้ค่ะ” ณิชาตอบเสียงสั่นนิด ๆ ด้วยหวั่นกลัวน้ำเสียงและสีหน้าของเขา ถึงแม้เธอจะไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม “พี่ใจเป็นหนี้นอกระบบ ตอนนี้โดนเจ้าหนี้ตามทวง แล้วไม่มีเงิน ก็เลยมาขอยืมชาไปใช้หนี้ก่อนค่ะ” เธอเล่าให้เขาฟังแบบคร่าว ๆ
วินทร์ยืนมองหน้าหญิงสาวด้วยแววตาเรียบนิ่ง เขารู้ดีว่าเธอเป็นคนขี้สงสาร มักจะอาสาช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอด โดยไม่คิดเลยว่าหากช่วยไปแล้วตัวเองจะลำบากหรือได้รับผลกระทบหรือไม่
“แล้วเธอมั่นใจได้ยังไงว่าจะไม่โดนหลอก” ชายหนุ่มถามต่อ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นใจดวงใจซึ่งเป็นลูกจ้าง แต่เขาอยากให้ณิชาคิดและตรวจสอบสักนิดว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร หรือใช่เรื่องจริงหรือไม่ ไม่ใช่ว่าใครว่าใครบอกอะไรก็เชื่อไปเสียหมด ที่ผ่านมาเขาเจอมากับตัว ขนาดคนที่รู้จักกันมานานและไว้ใจมาก ๆ ยังลอบทำร้ายกันได้ลงคอ นับประสาอะไรกับแม่บ้านที่เพิ่งเข้ามาทำงานด้วยกันได้ไม่ถึงปี
“พะ...พี่ใจคงไม่โกหกหรอก...มั้งคะ” ณิชาตอบได้ไม่เต็มเสียงสักเท่าไร เพราะมันก็จริงอย่างที่เขาว่า ไม่มีอะไรมารับประกันเลยว่าสิ่งที่ดวงใจบอกเล่ามานั้นคือเรื่องจริง แต่กระนั้นเธอก็ไม่อาจมองข้ามความทุกข์ของลูกจ้างได้ “พี่ใจยืนยันกับชาว่าจะไม่หนี และให้ชาทำสัญญากู้ยืมได้ค่ะ”
“แล้วแต่เธอจะพิจารณาเอาแล้วกัน ถ้าอยากช่วยก็ช่วยไป ส่วนเงินเดือนของพี่ใจเดี๋ยวฉันโอนให้เย็น ๆ” พูดจบวินทร์ก็หมุนตัวเดินตรงไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่อีกฝั่งทันที ณิชามองตามแผ่นหลังของผู้เป็นสามีด้วยความหนักใจ เธอเดาไม่ออกเลยว่าเขาคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ มีแวบหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าเขาไม่เห็นด้วยคล้ายห่วงใยว่าเธออาจจะถูกหลอก ทว่าไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างตัดเยื่อใย แล้วก็เดินออกไปเลย
หญิงสาวก้มมองสมาร์ตโฟนในมือ สมองกำลังคิดทุกอย่างอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง หากความห่วงใยที่มีต่อดวงใจและลูกสาววัยสิบสามปีนั้นมีมากกว่า จึงตัดสินใจปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ กดเข้าแอปพลิเคชันธนาคาร แล้วทำการโอนเงินจำนวนสองแสนเข้าบัญชีของดวงใจทันที ก่อนจะโทร. ไปบอกว่าโอนเงินให้แล้ว
เมื่อคุยเสร็จ ณิชาถอนหายใจออกมาเบา ๆ เก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง อาศัยช่วงเวลาที่มีคนดูลูกให้เข้าไปอาบน้ำ แต่งตัวง่าย ๆ และทาครีมบำรุงอย่างรีบ ๆ ก่อนเดินไปหยิบตะกร้านมและผ้าอ้อมที่ใช้แล้วของลูก จากนั้นก็เดินลงมาชั้นล่างทันที
“ถ้าเธอมีธุระที่ไหนหรือจะไปซื้อของใช้ส่วนตัวก็ไปได้เลย วันนี้ฉันอยู่บ้านทั้งวัน เดี๋ยวฉันดูลูกเอง” วินทร์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นแม่ของลูกเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ถึงแม้ว่าเขาจะเกลียดเธอ หากก็ไม่ได้ใจร้ายมากนัก เขาเข้าใจว่าการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งคนเป็นแม่ยังต้องอยู่กับลูกตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จนทำให้ไม่มีเวลาส่วนตัว
ถ้าเขาจำไม่ผิด ตั้งแต่คลอดณิศราออกมาจนตอนนี้ก็สามเดือนนิด ๆ แล้ว ณิชาไม่ได้ออกไปไหนและแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลย ต่างกับเขาที่ต้องออกไปทำงาน เจอผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่ได้อุดอู้อยู่แต่ในบ้านอย่างนี้ กอปรกับวันนี้เขาว่างและไม่ได้ออกไปไหนพอดี จึงเปิดโอกาสให้เธอได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง
“พี่วินทร์จะอยู่กับหนูณิสองคนเหรอคะ” หญิงสาวอยากออกไปเดินเลือกซื้อของ ด้วยข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอที่ให้ดวงใจคอยซื้อเข้ามาให้นั้นใกล้จะหมดแล้ว แต่เธอก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาจะอยู่กับลูกได้ เพราะที่ผ่านมาเขายังไม่เคยอยู่กับลูกตามลำพังเลยสักครั้งเดียว
“อีกเดี๋ยวพี่ใจก็มาไม่ใช่หรือไง” ไม่ใช่แค่เธอที่ไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่กับลูกได้ หากเขาเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน แต่เพราะรู้ว่าอีกสักพักดวงใจซึ่งเป็นทั้งแม่บ้านและพี่เลี้ยงจะเข้ามา เขาจึงกล้าบอกเธอไปแบบนั้น
ได้ยินแบบนั้นณิชาก็คลายความกังวลไปได้หนึ่งเปลาะ และอีกอย่างก็ใกล้ถึงเวลานอนของหนูน้อยแล้ว หญิงสาวจึงพยักหน้ายอมรับข้อเสนอที่เขายื่นมาให้แต่โดยดี “งั้นชาขอออกไปซื้อของข้างนอกนะคะ”
“อืม อย่าลืมปั๊มนมไว้ด้วย” วินทร์บอกแค่นั้น ก่อนจะหันกลับไปสนใจเล่นกับลูกน้อยที่ยังชูแขนชูขาตอบโต้เสียงกระดิ่งในมือของผู้เป็นพ่อ
ณิชามองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา พลางคิดในใจว่าคงจะดีไม่น้อยหากเธอและเขาได้เป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ ไม่ใช่ได้เป็นเพราะถูกบีบบังคับเช่นนี้ ครั้นรู้ตัวว่าเผลอคิดมากอีกแล้ว หญิงสาวก็รีบสั่นศีรษะ สะบัดความอ่อนไหวออกไปจากห้วงความคิด ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบอุปกรณ์ปั๊มน้ำนม แล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอนของตนเองอีกครั้ง
ห้างสรรพสินค้าวันนี้มีคนค่อนข้างหนาตา เนื่องจากเป็นวันหยุด ผู้คนออกมาเดินเล่นผ่อนคลาย บ้างก็จับจ่ายใช้สอยซื้อของเข้าบ้าน ณิชาเดินเลือกซื้อของใช้จำเป็น เช่น ผ้าอนามัย และพวกครีมบำรุงผิวต่าง ๆ ที่ใกล้จะหมดแล้ว ส่วนพวกของใช้ภายในบ้านนั้นวินทร์เพิ่งซื้อเข้าไปเมื่อไม่นาน และยังเหลืออยู่มาก จึงยังไม่ต้องซื้อเข้าไปเพิ่มอีก
เมื่อซื้อเสร็จหญิงสาวก็หอบข้าวของพะรุงพะรังเข้ามานั่งในร้านขนมหวานร้านดังซึ่งเป็นร้านโปรดของเธอ ณิชาเดินไปสั่งขนมหน้าเคาน์เตอร์สามรายการ รับใบเสร็จและเงินทอนก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม นั่งได้ไม่นานคนที่เธอนัดเอาไว้ก็เดินเข้ามา
“กันต์ ทางนี้!”
กันตยศหรือกันต์หันไปตามเสียงเรียก ก่อนที่ใบหน้าคร้ามคมจะระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเมื่อครู่กำลังยิ้มพร้อมโบกมือหย็อย ๆ ให้ ร่างสูงร้อยแปดสิบสามเซนติเมตรสืบเท้าเข้าไปยังโต๊ะด้านในสุดของร้านที่มีเพื่อนสนิทอย่างณิชานั่งอยู่
“เฮ้ย! นั่นแก้วเรา” ณิชารีบร้องขึ้นเมื่อคนที่เพิ่งมาถึงคว้าแก้วน้ำของเธอไปดื่มหน้าตาเฉย ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย เหลือบมองคนที่นั่งตรงข้ามแวบหนึ่งแล้วยักไหล่ขึ้นอย่างไม่สนใจ ก่อนจะกระดกน้ำเย็นจากแก้วกระดาษขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
“เดินมาเหนื่อย ๆ หิวน้ำ ช่วยไม่ได้นะ เธอไม่กดมาเผื่อเราเอง” กันตยศเอ่ยขำ ๆ โยนความผิดให้คนที่มาถึงก่อน แล้วเลื่อนแก้วเปล่าไปไว้ตรงหน้าหญิงสาวตามเดิม
“กินของเราหมด ไปกดมาคืนเราเลย” ณิชาแกล้งบอกด้วยน้ำเสียงงอน ๆ ไม่ได้จริงจังมากนัก อีกอย่างเธอก็ผิดที่ไม่ได้กดมาเผื่อเขา ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาจะมา
“สั่งขนมแล้วใช่ปะ เราจะได้กดมาแค่น้ำอย่างเดียว” ชายหนุ่มถาม ครั้นเห็นอีกคนพยักหน้า เขาก็หยิบแก้วเปล่าขึ้นมา แล้วเดินไปยังจุดบริการน้ำที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ลูกค้าบริการตัวเอง ไม่นานเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำสองใบ
“พักถึงกี่โมง” ณิชาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสนิทนั่งลงที่เดิมแล้ว
“บ่ายโมงตรง ตามเวลามาตรฐาน เลตได้นิดหน่อย แต่วันนี้มีออกไปคุยงานข้างนอกตอนบ่ายสองด้วย” ชายหนุ่มตอบอย่างเป็นกันเองตามประสาคนเฟรนลี่ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย กันตยศกับณิชารู้จักกันเพราะเรียนมหา’ลัยคณะเดียวกัน ได้ทำงานกลุ่มและงานคู่กันบ่อย ๆ มีอะไรก็ช่วยเหลือกันมาตลอด จึงทำให้ทั้งสองคนสนิทกันอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งเรียนจบ ทั้งคู่ก็ห่าง ๆ กันไป เพราะณิชาตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ ส่วนกันตยศหางานทำและเรียนต่อที่ประเทศไทย แต่กระนั้นก็ยังมีติดต่อกันบ้าง หากไม่บ่อยเท่าไรเพราะเรียนหนักด้วยกันทั้งคู่
“แล้วทำงานเป็นไงบ้าง” ณิชาถามต่อ ด้วยอยากรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายอย่างเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน หากลอง ๆ นับดูก็เจ็ดปีแล้วที่เธอกับเขาไม่ได้เจอกัน และช่วงสองสามปีให้หลังก็แทบไม่ได้คุยหรือติดต่อกันเลย
“ก็ดี เงินเดือนเยอะดี” ชายหนุ่มตอบขำ ๆ แล้วถามกลับบ้าง “แล้วชาล่ะ เป็นไงบ้าง สบายดีไหม”
“เราสบายดี” ณิชาตอบพลางส่งยิ้มบาง ๆ ให้ หากกันตยศกลับดูออกว่าจริง ๆ แล้วหญิงสาวไม่ได้เป็นอย่างที่พูด ด้วยหลักฐานทุกอย่างมันปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาทั้งหมดแล้ว ถึงเธอจะยืนยันอย่างหนักแน่นว่าสบายดี แต่ใบหน้าและขอบตาที่ดำคล้ำนั้นก็ทำให้เขารู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เธอพูดออกมา