เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในช่วงเช้าของวันใหม่ ซึ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เธอควรจะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่ม ทว่า วันนี้หญิงสาวกลับตื่นลืมตาขึ้นมาด้วยความมัวหมอง เหนื่อยล้าเพราะต้องการจัดการและวิ่งวุ่นมาเกือบตลอดสามวันนับตั้งแต่ที่รู้ข่าว
ใต้ตาบวมช้ำ เพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักตลอดสามวันที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่เกิดเรื่อง กับข่าวอุบัติเหตุเครื่องบินตกดังสะท้านไปทั่วโลก สื่อทุกสำนักทั้งในและต่างประเทศต่างประโคมข่าวอย่างหนัก
ยังไม่ทันได้พักคิด ทบทวน ลำดับเหตุการณ์และเรื่องราว ว่าวันนี้ทั้งวันเธอจะต้องคิดแล้วทำสิ่งใดก่อนหลังบ้าง เสียงเพลงที่แผดลั่นดังมาจากโทรศัพท์เครื่องหรูราคาเกือบครึ่งแสนที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงก็เรียกสติเธอให้ดึงกลับมา
“สวัสดีค่ะ"
“เอ่อครับ...ไม่ทราบว่าใช่คุณฌาร์ริญณ์หรือเปล่าครับ" ปลายสายสอบถามคล้ายกับต้องการเช็คเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ" น้ำเสียงเริ่มร้อนรน กระวนกระวาย ผุดลุกขึ้นนั่งรับฟังปลายสายอย่างตั้งใจ ใช้เวลาไม่นาน หญิงสาวก็รีบร้อนลุกจากเตียงขนาดห้าฟุต วิ่งไปเข้าห้องน้ำรีบทำธุระส่วนตัว
เพราะอีกไม่นานจะมีคนจากครอบครัวของพี่เขยมารับ เพื่อไปทำธุระเกี่ยวกับเอกสารต่างๆ ดำเนินเรื่องที่จะขอรับศพพี่สาวและพี่เขยเธอ หลังจากผ่านการพิสูจน์ทราบตัวตนเรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวปาดน้ำตาทิ้งแบบเร็วๆ เมื่อความโทมมนัสพุ่งเข้าโจมตีความรู้สึก ก่อนจะย้ำเตือน บอกตัวเอง ว่าอย่ามัวแต่คร่ำครวญเสียใจ เวลานี้หล่อนต้องเข้มแข็งและตั้งสติ ยังมีอะไรให้ต้องทำอีกมาก ไหนจะเรื่องหลานสาวของเธออีก
หนูวาวา สาวน้อยวัยใกล้สามขวบ กำลังน่ารักน่าชังแต่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า
วันนี้เธอจะได้พบกับหนูน้อยอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานหลายเดือน นับตั้งแต่พี่สาวย้ายถิ่นฐานไปอยู่จังหวัดในทางภาคใต้ เพราะธุรกิจครอบครัวของพี่เขยนั้นทำเกี่ยวกับด้านโรงแรม นานๆครั้งเธอถึงจะได้ขึ้นเครื่องไปหา
เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง ในเมื่อเธอสิ้นพี่สาวไปแล้ว ชีวิตของเธอก็แอบเคว้งคว้างอยู่ไม่น้อย ไหนจะเรื่องเรียนของเธอที่ใกล้จะจบการศึกษา จากนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไร ในเมื่อสิ้นพี่สาว ที่เป็นเสมือนดังเสาหลักของชีวิต ก็ยังไม่รู้เลยว่าอนาคตต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร
หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะมองตัวเองผ่านกระจกเงา เรียกกำลังใจให้กับตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวเดินไปคว้ากระเป๋าสะพายที่วางอยู่ในตู้สีขาว ที่มีกระเป๋าหลากหลายใบ หลายหลากแบรนด์ วางเรียงรายอยู่ในนั้น แล้วถึงเดินออกจากห้องนอนเพื่อลงไปนั่งรอใครบางคนที่กำลังมาถึงในอีกไม่ช้า
พี่ชายของพี่เขยเธอเองที่เป็นคนติดต่อว่าจะมารับเธอในเช้าของวันนี้เพื่อไปจัดการทุกอย่าง คนที่เธอไม่เคยได้พบหน้าเลยสักหน เพราะทุกครั้งจะต้องมีเหตุให้คลาดกัน ทำให้ไม่เคยได้พบเจอ แม้กระทั่งวันงานแต่งงานของพี่สาวซึ่งจัดขึ้นสองครั้ง คือที่กรุงเทพและที่ภูเก็ต เธอจึงเลือกที่จะไปแค่งานที่จัดขึ้นในกรุงเทพ ส่วนพี่ชายของพี่เขย ก็เลือกที่ไปแค่งานที่ภูเก็ต
ทำให้เราสองคนไม่เคยเจอหน้ากัน หญิงสาวจึงอดประหม่าไม่ได้ หวั่นใจอยู่ไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมีหน้าตาและท่าทางอย่างไร จะดุดัน ตีหน้าเคร่งขรึม พูดน้อย เหมือนพี่เขยเธอหรือไม่ก็สุดรู้
เวลาใกล้สิบโมงเช้า จึงได้ยินเสียงรถยนต์แปลกหูดังขึ้นบริเวณหน้ารั้วประตูบ้าน ร่างเล็กที่กำลังไล่โทรศัพท์เลื่อนมองภาพถ่าย ที่เธอได้ถ่ายรูปด้วยกันกับพี่สาวกับพี่เขย พลอยทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย
หล่อนปัดป้าย ใช้หลังมือเล็กปาดเช็ดน้ำตาแบบลวกๆเร็วๆ สูดน้ำมูกเข้าปอด ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน เดินออกไปเปิดประตูรับแขกแปลกหน้าที่เพิ่งมาเยือน วันนี้เขาจะมารับเธอไปจัดการเรื่องต่างๆและยังจะพาไปเจอหลานสาวที่ไม่เจอกันนานหลายเดือน
สองเท้าที่กำลังก้าวเดิน หยุดชะงักไปทันที เมื่อเหลือบสายตาขึ้นมองคนตรงหน้าที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูรั้ว ด้วยเชิ้ตสีดำกับกางเกงสแล็คสีเดียวกัน สวมแว่นตากันแดดแบรนด์หรู จ้องมองมาที่เธออยู่ก่อนแล้วเช่นกัน
เป็นไปไม่ได้!
คำนี้ลั่นดังอยู่ในความคิด เมื่อเห็นคนหน้าคล้าย ที่คล้ายกับว่าคุ้นเคย คุณคนนั้น คือพี่เขม!
พี่เขม! คนที่เธอ...
หื้อ...ไม่ใช่หรอกมั่ง อะไรจะโลกกลมขนาดนี้!
มันไม่มีทางเป็นไปได้! ทฤษฎีโลกกลมบ้าบออะไร มันจะเหวี่ยงมาให้เธอเจอเขาง่ายดายแบบนี้