มือบางใช้ผ้าขนหนูเช็ดเรือนผมดำขลับไปมา ดวงตาหวานเพ่งพิศหน้ากระจกเงา เด็กสาวในวันวานภายนอกแปรเปลี่ยนราวคนละคน แม้จิตใจเข้มแข็งขึ้นแต่อดไม่ได้ที่จะวูบไหวอยู่ดียาม ได้ยินชื่อ ‘ราณี’ ของเหลวก็ปริ่มสองเบ้าตา
มือกำแน่นผสานกันช้า ๆ ดวงตาพริ้มหลับลงหวนนึกถึงครั้งแรกที่เจอมารดาของอดีตคนรัก…
เพราะเป็นวันหยุดร่างบางในชุดเอี้ยมจึงช่วยมารดาออกไปซื้อวัตถุดิบจากตลาดตั้งแต่เช้าตรู่ มือสองแม่ลูกหอบหิ้วอาหารสด ผักใบเขียวต่าง ๆ สุดฤทธิ์
ปรายดาวแสร้งปั้นยิ้มคุยกับผู้เป็นแม่ทั้งที่บาดแผลในใจยังไม่หายดี เธอไม่ได้บอกท่านว่าอย่างไรเทอมนี้ต้องดร็อปเรียนในที่สุด
ยังไม่ทันเปิดประตูรั้วบ้านสองเท้าต้องหยุดชะงัก เพราะรถตู้ใหญ่คันจังก้าขวางรั้วไม้เสมือนจงใจ
“เดี๋ยวปรายบอกให้เขาเลื่อนเองจ้ะแม่” ปรายดาวขันอาสาส่วนดุจเดือนก็พยักหน้า
“ค่อย ๆ คุยนะลูก เขาอาจจะมาทำธุระแถวนี้”
“ไม่ต้องห่วงจ้ะ ปรายไม่ใจร้อนเหมือนพ่อแน่ ๆ”
“ดีมากคนเก่ง”
คิดได้ดังนั้นก็เดินฉับ ๆ เพื่อขอร้องให้พลขับเลื่อนล้อออกไปสักนิดหนึ่ง ยังไม่ทันเคาะกระจกประตูรถก็เลื่อนออก ภาพตรงหน้าปรากฏร่างสง่าในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม หล่อนตีกระบังผมยกสูง ริมฝีปากสีแดงเลือดนกแย้มยิ้มก่อนเอ่ยช้า ๆ ว่า
“เธอคือปรายดาวใช่ไหม” ดวงตาโตเท่าไข่ห่านไล่สำรวจร่างบางตั้งแต่หัวจดเท้า
“ค่ะ คุณคือ…”
“ฉันชื่อราณี เป็นแม่ภาม” ไม่ทันยกมือไหว้หล่อนก็แทรกอธิบายเสร็จสรรพ ชายวัยกลางคนพยุงคุณหญิงผู้ดีลงจากรถช้า ๆ ราณีเร่งสำรวจรอบข้างอีกครา
“ที่นี่ดู…” มือข้างหนึ่งหยิบผ้าเช็ดหน้าราคาแพงในกระเป๋า จมูกโด่งแสร้งสูดดมแล้วต้องยี้แทบไม่ทัน
“สกปรกกว่าที่ฉันคิด”
คำพูดชัดถ้อยชัดคำไม่ได้หมายถึงรอบข้างเสียทีเดียว หล่อนเปรียบเปรยแฟนเก่าลูกชายต่างหาก
“นี่คุณเป็นใคร มาว่าลูกฉันแบบนี้ได้ยังไง!” ดุจเดือนทนไม่ไหว ร่างบางกำบังลูกสาวไว้เบื้องหลังทันใด มารดากางปีกปกป้องปรายดาวจนเด็กสาวน้ำตาปรอย
“ถามเด็กนี่สิว่าไปทำอะไรมา ถ้าประกาศตรงนี้ลูกเธอนั่นแหละที่จะต้องอับอาย!” ริมฝีปากแดงฉาดกระแทกเสียงหนัก ๆ ตอบ ราณีกอดอกจงใจขยี้จุดอ่อนให้ปรายดาวหวาดกลัว
“ไปคุยข้างใน!” ดุจเดือนจ้องหญิงผู้ดีตาเขม็ง หล่อนจูงลูกสาวคนเดียวจ้ำอ้าวเข้าบ้านไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ถึงแม้ร่างสง่าดูมีอำนาจบารมี แต่พวกเธอก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน
“ปรายขึ้นไปรอแม่ข้างบนลูก” ดุจเดือนลูบศีรษะลูกสาวให้คลายกังวล ปรายดาวอึกอักชั่วครู่แต่ก็จำใจหมุนกายทำตามคำสั่งมารดา
เด็กสาววัยมหาลัยตอนนั้นได้แต่ยืนอยู่หน้าห้องนอนพิงประตูไม้อย่างไร้เรี่ยวแรง เธอพรูน้ำตารินไหลโกรธแค้นตนเองสุดใจ ทำไมนะ…
ไม่น่าใจอ่อนปล่อยให้ผู้ชายเห็นแก่ตัวอย่างนั้นเข้ามาในชีวิต!
ผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาทีก็ได้ยินเสียงทะเลาะลั่นข้างล่าง…
สองเท้าวิ่งลงบันไดก็เห็นมารดานอนหมดสติอยู่บนพื้นกระเบื้อง ภาพลับระหว่างเธอและภวัฒน์กระจัดกระจายเกลื่อนบ้านโดยไม่ต้องสืบว่ามาจากฝีมือผู้ใด
“คุณทำอะไรแม่หนู!” ปรายดาวค้อนขวับมองหน้านางมารร้ายที่จำได้ไม่รู้ลืม
“ฉันเปล่า แม่เธอซุ่มซ่ามเอง!” ราณีส่ายหน้าปฏิเสธเสียงแข็งก่อนบ่ายเบี่ยงยังคนขับรถซึ่งมาด้วยกัน
“ไม่เชื่อก็ถามศักดิ์”
“คุณหญิงไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ ครับ มาเดี๋ยวผมพาแม่คุณส่งโรงพยาบาล” วินาทีเดียวนั้นต้องยอมรับความช่วยเหลือก่อน รถตู้คันใหญ่พาสองแม่ลูกถึงจุดหมายปลายทาง
ดวงตาหวานฉ่ำพร่าเบลอชั่วขณะยามมองร่างไร้สติของมารดา หล่อนถูกเข็นช้า ๆ เข้าห้องฉุกเฉิน
ปรายดาวสะอึกสะอื้นทำอะไรไม่ถูกเป็นห่วงดุจเดือนจนแทบอยากสละชีวิตแทน เธอกลัวว่าโรคหัวใจที่ท่านเป็นอยู่จะกำเริบ อีกครา สุดท้ายสิ่งที่หวาดผวาก็เกิดขึ้นจริง พยาบาลออกมาแจ้งว่าตอนนี้ชีพจรมารดาหยุดเต้น แพทย์กำลังพยายามช่วยอยู่ หญิงสาวมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก เธอโทร. หาพ่อแต่ท่านก็ไม่รับเพราะติดเวร สมองตื้อตึงไปหมด คนเดียวที่แล่นเข้ามาในความคิดตอนนั้นคือพลรบ พี่ชายคู่กัดมาถึงที่นี่อย่างกับเหาะได้ เขากอดเธอแนบอกแต่ไม่อาจปัดเป่าความเศร้าให้เจือจาง ปรายดาวยังคงร้องไห้อยู่ดี
“ไม่เป็นไรนะปราย น้าเดือนต้องปลอดภัย”
จุดจบทั้งหมดคือความเสียใจเพราะคนเป็นลูกได้แต่มองดูแม่ผ่านบานกระจก หมอปั๊มหัวใจดุจเดือนครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง…
มารดาจากไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ช่วงเวลาขณะนั้นสำหรับสองพ่อลูกมันช่างยากลำบากเหลือเกิน
บัญชาทำใจไม่ได้ร้องไห้ทุกคืนวันกระทั่งไม่ไปทำงาน ท่านทรุดโทรมผอมแห้งแต่ก็พยายามเข้มแข็งเพื่อเป็นเสาหลักของครอบครัว
ส่วนตัวต้นเหตุเพียงส่งพวงหรีดและเงินก้อนใหญ่มอบให้ในวันเผา บัญชาแทบคลั่งหมายไปเอาเรื่องให้รู้ดำรู้แดง แต่ความยุติธรรมไม่มีอยู่จริง เพราะคนตายพูดไม่ได้ทุกอย่างสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ
เมื่อราณีมีพยานยืนยันว่าไม่ได้ทำ อำนาจเงินอยู่เหนือทุกอย่าง นักธุรกิจหญิงชนะทุกทางกรีดบาดแผลยิ่งใหญ่ไว้ในชีวิตครอบครัวหนึ่งชั่วนิรันดร์ ยังโชคดีที่มีหนึ่งชีวิตกำเนิดมา ภูตะวันเปรียบดั่งน้ำค้างแรกแย้มให้แม่และตา กลับมาสดใสอีกครั้งแม้ยากเย็นก็ตาม
“แม่ปรายค้าบบบ” เสียงเจ้าตัวเล็กวิ่งผ่านหน้าประตูไม้กรูเข้ากอดร่างมารดา
“น้องภูได้ที่หนึ่งรางวัลหนูน้อยมิตรภาพตอนไปค่าย แม่ปรายเอาไปใส่กรอบให้น้องภูหน่อยได้ไหมครับ”
ภูตะวันชูประกาศนียบัตร ตบอกทั้งสองข้างอย่างภาคภูมิใจ
“ได้สิลูก ไหนคนเก่งของแม่ดูหน่อยครับ”
ปรายดาวหยิบกระดาษแก้วสีทองอร่ามขึ้นมาเพ่งพิศ ก่อนประทับจูบแก้มนิ่มทั้งสองข้าง
“ลุงรบบอกจะให้รางวัลเป็นไอติมกับสวนสนุก แม่ปรายไปด้วยกันนะครับอาทิตย์หน้า”
“อาทิตย์หน้าเหรอครับ…” ปรายดาวกลืนน้ำลายลงคอแทบไม่ทัน เพราะจากปฏิทินจำได้ต้องไปดูงานต่างจังหวัด
“แม่ปรายต้องไปทำงานกับบริษัทน่ะสิ” เธอย่อกายพลางย่นจมูกหาเด็กชายอย่างน่ารัก
“ครั้งหน้าได้ไหมครับ น้องภูไปกับลุงรบก่อน”
“…ก็ได้ครับ น้องภูยอมแม่ปราย” และเจ้าตัวแสบก็ยิ้มหน้าบานเป็นอันตกลง ภูตะวันจูงมือปรายดาวเข้านอนพร้อมกัน เด็กน้อยโม้ให้แม่ฟังยกใหญ่ถึงเหตุการณ์ตลกขบขันตอนไปค่าย ดวงตาสุกสกาวดั่งดาวบนฟ้าเล่นเอาคนเป็นแม่มองจนเพลิน สุดท้ายกว่าเรื่องต่าง ๆ ที่สองแม่ลูกชอบแลกเปลี่ยนกันในทุกค่ำคืนจบลงก็ล่วงเลยไปกว่าเกือบสองชั่วโมง
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป…
แสงอาทิตย์กระจ่างฟ้าตัดท้องทะเลสีครามบนเกาะมุก ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแต่งสุดอลังการ ทีมงานนับยี่สิบชีวิตขนข้าวของเดินตระเวนสำรวจทั่วทุกตารางนิ้วเพราะเจ้าสาวอ้างว่าไม่ต้องการให้อะไรขาดตกบกพร่องเด็ดขาด
ปรายดาวหยิบหมวกแก๊ปขึ้นมาสวมพร้อมเกล้าหางม้าพันธนาการผมยาวสลวยจนสิ้น ความร้อนของไอแดดเล่นเอามือนุ่มยกมือปาดเหงื่อแทบทุกวินาที
“ไหวหรือเปล่าพี่ปราย” บอยลูกน้องในทีมโพล่งถามหัวหน้า ส่วนน้ำหวานก็หยิบยื่นเครื่องดื่มแจกจ่ายทันควัน สาวน้อยไม่ลืมเผื่อแผ่ยังสองหนุ่มสาวที่ยืนหลบอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่
อรนิชามีภวัฒน์คอยอำนวยความสะดวก เขากางร่มให้นางแบบสาวแทบประชิดติดกาย
“หมั่นไส้ว่ะพี่ คนอะไรไม่รู้โคตรเรื่องมาก”
บอยยกมือป้องปากเมาท์อรนิชาซึ่งแผงฤทธิ์ทั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินทาง เจ้าหล่อนเรื่องมากจัดแจงสัมภาระราวกับในกระเป๋าเดินทางกว่าสิบใบนั่นมีทอง!
“คนดังก็งี้แหละบอย ต้องดูแลตัวเองเป็นธรรมดา”
แตกต่างจากปรายดาว เธอสะพายกระเป๋าเป้มาแค่ใบหนึ่งเท่านั้น ก็มาค้างคืนแค่สามวันจะขนอะไรมาเยอะแยะกันเล่า
“นิชาไม่กินน้ำอัดลม มีน้ำแร่ไหม”
หล่อนจีบปากจีบคอพูดกับเด็กน้ำหวานซึ่งต้องควานหาสิ่งอำนวยความสะดวกจ้าละหวั่น สุดท้ายบริษัทเตรียมมาแค่น้ำเปล่าเท่านั้นอรนิชาจึงรับมาอย่างจำใจ
ส่วนภวัฒน์เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ มือหนึ่งดูแลว่าที่เจ้าสาว ส่วนอีกมือสูบบุหรี่สบายใจ กระนั้นนัยน์ตาคมกริบยังหาจังหวะจับจ้องมาที่เธอ
ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา!
ปรายดาวสาวเท้าสำรวจบริเวณชายหาดใกล้บ้านพักส่วนตัว เกาะนี้มีที่พักอาศัยกว่าสิบหลัง เปิดให้บริการเฉพาะคนในตระกูล… เท่านั้น
มือยกขึ้นมาจดรายละเอียดทั้งยังประเมินด้วยสายตาคร่าว ๆ ว่าควรจัดวางสิ่งของตำแหน่งไหน ซุ้มดอกลิลลี่สีขาวเคล้าด้วยดอกกุหลาบคงต้องอยู่ใจกลางเปรียบดั่งแท่นพิธี
ก้มหน้าสนแต่กระดาษโดยไม่เอะใจสักนิดเลยว่ามีเงาใครบางคนอยู่เบื้องหลัง
“โอ๊ย!” รู้อีกทีร่างเล็กแทบล้มคะมำเพราะเจ้าบ่าวทำหน้าบอกบุญไม่รับประหนึ่งยักษ์วัดแจ้ง
“ทำบ้าอะไรของคุณ!”
ปรายดาวตำหนิเสียงเบา เธอหันซ้ายมองขวาเพราะภาพดังกล่าวไม่น่ามองนัก หากใครมาเห็นจะเข้าใจผิดได้
“ทำอะไร ผมแค่อยากมาชื่นชมความตั้งใจของคุณใกล้ ๆ” ภวัฒน์ยิ้มกริ่มไหวไหล่ราวไม่รู้สึกรู้สาเท่าไรนัก แม้คนตัวเล็กเขยิบหนีแต่ราชสีห์หนุ่มไม่วายสาวเท้าตาม
“คุณอยากได้อะไรเพิ่มเติมอีกไหมคะ” พนักงานคนเก่งไม่อยากทะเลาะกับลูกค้าให้เสียเวลา ริมฝีปากเคลือบสีหวานปั้นยิ้มสุดฤทธิ์ทั้งยังเอ่ยอย่างเป็นมิตร
“ฉันว่าเก้าอี้ที่คุณนิชาระบุมาอาจจะน้อยไป เราเพิ่มอีกดีไหม พวกคุณเป็นตระกูลดังมีชื่อเสียง ถ้าให้เดาแขกคงเยอะแน่ ๆ”
คำถามจี้ใจเล่นเอาคนอารมณ์เสียกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูด ภวัฒน์แสยะยิ้มยียวนก่อนเอ่ยชัด ๆ ช้า ๆ ว่า…
“มีความสุขมากไหม ต้องจัดงานให้ผู้ชายที่เป็นเจ้าของคุณคนแรก”
ปรายดาวนิ่งชั่วขณะ เธอสูดลมหายใจช้า ๆ ดวงตาใกล้แดงก่ำแต่พลันระงับไว้ ยิ่งเงยหน้าสบตาภวัฒน์มากเท่าไร ความรู้สึกรวดร้าวในใจคล้ายถูกทึ้งขึ้นมาให้รับรู้รสชาติอันแสนขมขื่น
“คุณลืมไปแล้วหรือไงว่าระหว่างเราเคยลึกซึ้งแค่ไหน” มือสากหมายคว้าแขนขาวแต่ต้องหยุดชะงัก
“คุณเข้าใจคำว่าอดีตไหมคะคุณภวัฒน์” หญิงสาวเอ่ยก่อนยิ้มอย่างมาดมั่น
“ปราย…” ชายหนุ่มมึนงงราวถูกค้อนปอนด์ใหญ่ทุบกลางศีรษะ
“สำหรับฉันอดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว…”
“…”
“ต่อให้มันจะเคยเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่ตอนนี้ฉันอยู่กับปัจจุบันค่ะ” นัยน์ตาสุกสกาวดั่งดาวบนฟ้าเหลือบมองยังร่างบางอีกฝั่งหนึ่ง
“ไปดูแลเจ้าสาวของคุณเถอะ”
ปรายดาวพยักพเยิดหาอรนิชา หล่อนคือคนที่ภวัฒน์ควรใส่ใจหาใช่เธอ
“คนที่กำลังจะแต่งงานไม่ควรทำแบบนี้กับผู้หญิงอื่นนอกจากคนรักนะคะ”
เธอหมุนเท้าควบคุมตนเองไม่ให้สั่น บัดนี้กายต้องอยู่กับปัจจุบัน อดีตเบื้องหลังไม่สลักสำคัญ เพราะผู้ชายในความทรงจำกำลังจะกลายเป็นเจ้าบ่าวของใครอีกคน
‘รักแรกของใจแต่ไม่ใช่คนสุดท้ายในชีวิต’
คำเปรียบเปรยในแง่มุมความรักเพิ่งเข้าใจวันนี้… วันที่ทั้งเธอและเขาเปรียบดั่งเส้นขนาน ต่อให้ตายก็ไม่มีทางบรรจบกัน!