อันตงหยางและจางลี่ซือรับสำรับร่วมกัน นางคีบอาหารเตรียมจะวางบนถ้วยของฉันคงหยางทว่ากลับต้องชะงักเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ จางลี่ซือพอรู้ว่าสิ่งที่จะแตะต้องหรือเข้าไปในร่างกายของอันตงหยางจำเป็นต้องได้รับการตรวจพิษก่อนเพื่อลดความเสี่ยงในการลอบสังหารเชื้อพระวงศ์ จึงเลื่อนตะเกียบมายังถ้วยของตัวเองพลางถอนหายใจเบา ๆ
นางต้องการประจบประแจงเพื่อให้ได้มาซึ่งความเอ็นดู แต่กลับไม่มีสิ่งใดที่นางสามารถกระทำได้เลย คิดแล้วนางก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“รับสำรับกับข้ามันน่าเบื่อหลายขนาดนั้นเลยหรือ?”
“หะ หามิได้เพคะ มะ หม่อมฉันแค่คิดไปเรื่อยเปื่อยจนเผลอทำการเสียมารยาท ขอประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
เมื่อเห็นว่าอันตงหยางเริ่มไม่พอใจก็วางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นย่อกายประสานมือคำนับขออภัย
อันตงหนางมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย แท้จริงแล้วที่อันตงหยางได้เอ่ยปากออกไปนั่นก็เป็นเพียงแค่การพูดคุย ไม่ได้มีเจตนาให้นางหวาดกลัว
“ลุกขึ้นเถอะ ข้ามิใช่คนใจแคบที่จะติดใจเอาความเจ้าเพราะเรื่องเล็กน้อย”
ได้ยินดังนั้นจางลี่ซือก็ลุกขึ้นแล้วนั่งที่เดิม เหลือบสายตามองอันตงหยางแต่เมื่อเห็นว่าบุรุษมองนางอยู่ก่อนแล้วก็หลุบตาต่ำลงตามเดิม
…หมดกันซือเอ๋อร์ หากเอาแต่หวาดกลัวอยู่แบบนี้มิอาจได้รับความเอ็นดูจากหยางอ๋องเป็นแน่…
“หากหวาดกลัวข้าขนาดนั้นก็ไม่เป็นที่จะต้องมาเจอข้า เห็นแล้วรำคาญใจ”
…นั่งไงซือเอ๋อร์เอ้ย!...
“หะ หามิได้เพคะ หยางอ๋องทรงมีพระเมตตาให้กับจางลี่ซือผู้นี้ใยหม่อมฉันจะต้องหวาดกลัวท่านด้วย”
“เจ้าแน่ใจหรือ? โป้ปดกับข้าที่เป็นอ๋องมันไม่ดีนะ”
“เอ่อ บางครั้งท่านก็ดูน่ากลัวสำหรับสตรีเช่นหม่อมฉันเพคะ…”เพราะรู้ว่าเช่นไรท่าทางนางก็คือคนที่กำลังหวาดกลัวจึงพูดความจริงออกไป
“ข้าได้ยินว่าเจ้าจับไข้ อาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”อันตงหยางเปลี่ยนเรื่องคุยทำให้นางแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะหากอันตงหยางเค้นความว่านางเกรงกลัวเขาอยู่นางคงได้ร่ำไห้เพราะความน่ากลัวของอันตงหยางเป็นแน่
“หม่อมฉันอาการดีขึ้นมากแล้ว เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของหยางอ๋องที่ทรงส่งคนไปดูแลหม่อมฉันอย่างใกล้ชิดเพคะ”ไม่ลืมที่จะเงยหน้าสบตากับบุรุษแล้วส่งยิ้มหวานไปให้
“…เจ้าสมควรได้รับ”แต่อันตงหยางก็ช่างตีหน้านิ่งเฉยเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ ทำเอาสตรีตัวน้อยเริ่มห่อเหี่ยวใจ แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ในการประจบประแจง
“ขอบพระทัยเพคะหยางอ๋อง เอ่อ…”จางลี่ซือหลุบตาต่ำลงและช้อนขึ้นมองอันตงหยางอย่างลังเลใจ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ้ยปากออกไป”คือว่า…เหตุใดท่านจึงไม่ไปเยี่ยมเยือนหม่อมฉันบ้างเลยเพคะ?”
จางลี่ซือว่าพลางปั้นสีหน้าท่าทางน่าสงสาร ดวงตากลมใสจ้องมองใบหน้าคมคายของอันตงหยาง ดวงตาเรียวคมจ้องมองนางด้วยสีหน้าเฉยชาเหมือนทุกที
…หรือข้าต้องอ้อนกว่านี้กันนะ?...
“เจียวลู่มิได้บอกหรือว่าข้าไปปราบปีศาจหลังจากร่วมสานสัมพันธ์กับเจ้าคืนนั้น”
…ปราบปีศาจ? ข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย?...
จางลี่ซือนึกอายกับอารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจของตัวเอง เป็นเพราะอันตงหยางติดภารกิจจึงไม่สามารถไปเยี่ยมเยือนนางได้ หาใช่ว่าอันตงหยางเลือกที่จะไม่ไปหานางไม่
นึกขุ่นเคืองใจเจียวลู่ที่ไม่บอกนางบ้างเลยจึงแอบมองค้อนด้วยสายตาแง่งอน ทำเอาเจียวลู่ลอบยิ้มแทนที่จะรู้สึกผิด
ปล่อยให้เข้าใจผิดอยู่ฝ่ายเดียว นี่ถ้าเกิดว่านางไม่ใจกล้าเอ่ยปากถามอันตงหยางออกไปก็คงไม่มีทางรู้และคิดว่าอันตงอย่างเป็นบุรุษโหดเหี้ยมใจร้าย แม้แต่ชายาเพียงคนเดียวจับไข้ก็ไม่ยอมเหลียวแล
คิดได้แบบนั้นนางก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมา ก่อนที่จะเผลอลืมตัวใช้ตะเกีบบคีบอาหารหมายจะวางลงบนถ้วยของอันตงหยาง ทว่าเจียวลู่กลับร้องเตือนขึ้นก่อน
“ขอประทานอภัย ซือหวางเฟย…”
เมื่อได้ยินเจียวลู่เตือนนางก็ได้สติแล้วดึงมือกลับคืนมาด้วยท่าทางห่อเหี่ยวใจ
“ให้นางทำ”
สิ้นประโยคนั้นจางลี่ซือก็ยิ้มกวาง วางอาหารที่คีบลงบนถ้วยของอันตงหยางหนึ่งอย่าง สองอย่าง สามอย่างด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข การที่ได้รับอนุญาตให้ปรนนิบัติแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับนางนะแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการที่อันตงหยางเริ่มเอ็นดูนางขึ้นมาบ้างแล้ว
ส่วนบุรุษนั้นก็ได้แต่คิดว่าไม่อยากให้นางเสียน้ำใจ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่นางช่วยชีวิตของทหารเมื่อหลายวันก่อน แม้ว่าตนจะตบรางวัลให้นางไปแล้วก็ตาม
หลังจากวันนั้นนางก็ไปร่วมรับสำรับกับอันตงหยางทุกวัน ซึ่งวันนี้เป็นวันที่สามแล้ว ทว่าจากที่นางเตรียมจะนั่งรอบุรุษอยู่บนพื้นเช่นทุกที ในวันนี้กระทบแคร่ขนาดสองสามคนนั่ง เจียวลู่จึงเอ่ยปากอธิบายขึ้น…
“กระหม่อมให้คนทำไว้ให้พะยะค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก”
ว่าพลางทิ้งกายนั่งลงบนแคร่เพื่อรออันตงหยางที่ช่วงนี้ออกไปลาดตระเวนเวลาจ่าวชังแล้วกลับมาเวลาจงอู่ว นั่งรอเพียงไม่นานนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา จางลี่ซือผุดลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งไปหาอันตงหยางพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างเช่นทุกที
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะหยางอ๋อง?”นางว่าพลางดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นออกไปเช็ดให้กับบุรุษอย่างเบามือ นางมองรูปหน้าที่นางบรรจงเช็ดโดยไม่รู้สึกถึงสายตาของอันตงหยางที่มองนางนิ่ง”ช่วงนี้ปีศาจโจมตีบ่อยหรือเพคะ?”
“เปล่า”
“แล้วเหตุใดจึงต้องออกไปลาดตระเวนตั้งแต่จ่าวชังด้วยหรือเพคะ?”
“ข้ากำลังตามหาลูกปีศาจเสือขาว”
“เพคะ!?”
อันตงหยางเหลือบสายตาไปที่ใต้ร่มไม้ซึ่งมีแคร่ขนาดสามคนนั่งวางอยู่ก่อนจะออกคำสั่งกับผู้ติดตาม
…นานทีเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อยเห็นจะดี…
“เตรียมสำรับไปที่นั่น”
“ลูกปีศาจเสือขาวในวันนั้นใช่หรือไม่เพคะ?”
จางลี่ซือยังคงไม่หายข้องใจและเอ่ยปากถามอย่างเป็นกังวล รู้สึกเป็นห่วงลูกปีศาจเสือขาวที่ต้องอยู่ตัวเดียวโดดเดี่ยวในวันนั้น นางรู้สึกเหมือนกับเห็นตัวนางเองอยู่ในตัวของลูกเสือขาวตัวนั้น เพราะมารดาของนางก็ได้เสียไปทำให้นางต้องอยู่ท่ามกลางคนในตระกูลที่ไม่มีใจรักใคร่นางเลยสักนิด
“อืม”
“เหตุใดต้องไปตามหามันด้วยเพคะ?”
“เพราะแม่ของมันตายแล้ว”
“เพคะ!?”
“แม่ของมันจู่โจมหมู่บ้านจนได้รับความเสียหายไปกว่าครึ่ง จึงจำเป็นที่จะต้องฆ่ามัน”
สิ้นประโยคนั้นจางลี่ซือก็ยกมือขึ้นปิดริมฝีปากด้วยความตกใจ นางรู้ได้ในทันทีว่าคราบเลือดที่นางเช็ดให้บุรุษในวันนั้นคือเลือดของแม่ปีศาจเสือขาวเป็นแน่
อันตงหยางเดินตรงไปใต้ร่มไม้ จางลี่ซือยังคงยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งเพราะนางกำลังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน จนกระทั่งเจียวลู่ส่งเสียงเรียกนางจึงได้สติแล้วรีบเดินไปหาบุรุษที่ใต้ร่มไม้เพื่อรับสำรับร่วมกันทันที
“แล้วตอนนี้หาลูกปีศาจเสือขาวตัวนั้นเจอหรือยังเพคะ?”
“เจอแล้ว”
“จริงเหรอเพคะ? หม่อมฉันขอไปหามันได้หรือไม่เพคะ?”
“ได้สิ”
“ขอบพระทัยเพคะหยางอ๋อง!”
นางยิ้มกว้างด้วยความดีใจโดยไม่ลืมคีบอาหารให้กับอันตงหยางเป็นการเอาอกเอาใจอีกด้วย
เมื่อเห็นนางยิ้มแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตามกับความไร้เดียงสาของสตรีผู้นี้ แค่ได้รับอนุญาตให้ได้ทำตามที่นางต้องการแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนแต่นางก็มักจะยิ้มกว้างอย่างสดใจด้วยความดีใจเสมอ
เจียวลู่ถึงกับยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วเหลือบมองอันตงหยางอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าตอนนั้นไม่ได้ตาฝาดไป
…เมื่อครู่นี้หยางอ๋องยิ้มอย่างนั้นเหรอ? มิใช่แสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม?...
เมื่อหันมองอีกทีก็เห็นว่าสีหน้าเรียบเฉยกลับมาแล้ว แต่สายตากลับจ้องมองจางลี่ซือที่กำลังยิ้มกว้าง คีบอาหารให้ตนเอง เจียวลู่อมยิ้มน้อย ๆ ไม่แน่ว่าจางลี่ซืออาจจะได้ดำรงตำแหน่งหวางเฟยไปอีกนานเลยก็ได้
หลังจากรับสำรับร่วมกันเสร็จจางลี่ซือก็รีบเดินตามเจียวลู่ให้นำทางไปยังสถานที่ที่ปีศาจเสือขาวอยู่ทันที เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าลูกปีศาจเสือขาวนั้นถูกขังอยู่ในกรง แถมบาดแผลในวันนั้นยังคงไม่หายไป นางมาดมั่นจะเข้าไปช่วยเหลือแต่ก็ถูกทหารนำดาบมากั้นไว้ก่อน
“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ หยางอ๋องมีรับสั่งห้ามผู้ใดเข้าใกล้ปีศาจเสือขาวตัวนี้พะย่ะค่ะ”