วันต่อมานางตื่นขึ้นในช่วงสาย เจียวลู่ที่รับรู้ว่านางตื่นแล้วได้เปิดประตูเข้ามาแล้วยกมือขึ้นประสานพร้อมกับค่อมตัวเล็กน้อยเป็นการคำนับให้กับหวางเฟย นางพยุงตัวเองลุกขึ้นด้วยไม่ลืมดึงผ้าห่มพันร่างกายไว้ด้วย
“กระหม่อมเจียวลู่ มีรับสั่งจากหยางอ๋องให้มาถวายงานแด่ซือหวางเฟยพะยะค่ะ”
คำเรียกที่เปลี่ยนไปทำให้นางรับรู้ว่าเมื่อคืนนี้ไม่ใช่ความฝัน นางสามารถอยู่ที่ตำหนักเหนือนี้ได้แล้วจริง ๆ จางลี่ซือเผยรอยยิ้มบางเบาด้วยความดีใจ
“ท่านจะรับสำรับที่นี่หรือจะกลับไปรับที่เรือนโม่ลี่ฮวาพะยะค่ะ?”
“ข้าจะกลับเรือน”
“ตามรับสั่งพะยะค่ะ”
นางผุดลุกขึ้นโดยมีเจียวลู่ช่วยแต่งตัว เจียวลู่พยายามแตะต้องตัวนางให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้นางเกิดความอึดอัดใจ เพราะถึงอย่างไรเจียวลู่ก็เป็นขันทีแค่ในนามมิได้เป็นจริงจัง ตำแหน่งที่แท้จริงของบุรุษนั้นคือรองแม่ทัพร่วมกับสหายอีกคนที่ตอนนี้ติดภารกิจอยู่นอกเมือง
โดยตอนแรกจางลี่ซือสวมใส่อาภรณ์ด้านในด้วยตัวเองก่อนจะให้เจียวลู่จัดการต่อ เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็กลับเรือนโม่ลี่ฮวาทันที
จางลี่ซือกินอาหารจากสำรับที่เจียวลู่เตรียมมาให้เพียงเล็กน้อย กินยาถอนพิษที่หมอให้มาก่อนจะเข้านอนแม้ว่าจะดวงอาทิตย์จะยังคงอยู่บนหัวอยู่ก็ตาม แต่เจียวลู่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปด้วยความที่รู้ว่าอันตงหยางคงจะสานสัมพันธ์ทางกายกับนางอย่างรุนแรง เพราะด้านนอกได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นด้านในทุกอย่าง กว่าอันตงหยางจะปล่อยนางเป็นอิสระก็นานหลายชั่วยาม
อีกอย่างถึงนางตื่นขึ้นมาก็ไม่มีสิ่งใดให้นางทำอยู่ดี สู้ให้นางพักผ่อนให้เต็มอิ่มแล้วส่งตัวนางถวายอันตงหยางจะดีเสียกว่า
ทว่าในบ่ายวันนั้นเองเจียวลู่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ จึงถือวิสาสะเอามือทาบหน้าผากเนียน ไอร้อนแผ่สู่ฝ่ามือทำให้เจียวลู่รีบไปตามหมอพร้อมกับแจ้งให้อันตงหยางรับรู้
พิษจากสัตว์ปีศาจยังคงอยู่ในร่างกาย พอนางเป็นไข้ทับซ้อนส่งผลให้อาการของนางย่ำแย่ลงกว่าเดิม พลังที่นางมีสามารถรักษาบาดแผลได้แค่ภายนอก หากเป็นเรื่องของภายในไม่อาจรักษาได้ผล
จางลี่ซือหายใจหอบเพราะพิษไข้และนอนซมคิดกันถึงสามวัน…
เข้าวันที่สี่จางลี่ซือก็หายจากไข้รวมถึงพิษจากสัตว์ร้ายนั่นด้วย นางยืนเหม่อมองทุ่งดอกเซี่ยงรื่อขุยพลางถอนหายใจและนึกขุ่นเคืองเล็กน้อย
แม้ว่าจางลี่ซือจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้พระราชทานมาให้อันตงหยาง แถมยังได้รับการยอมรับให้เป็นหวางเฟยแล้ว ทว่าผู้เป็นสวามีกลับไม่มาดูดำดูดีนางเลยตลอดสามวันที่นางจับไข้
…ข้าจับไข้เพราะท่านแท้ ๆ เหตุใดจึงไม่มาดูข้าบ้างเลย แบบนี้สถานะของข้าอาจสั่นคลอนได้ ข้าไม่ได้หวังสูงต้องการความรักจางหยางอ๋อง เพียงแต่อยากให้ท่านเอ็นดูสักนิด เพราะในอนาคตข้าต้องการการปกป้องจากหยางอ๋อง…
คิดได้ดังนั้นนางก็ตั้งเป้าหมายในใจว่าจะต้องประจบประแจงให้อันตงหยางนั้นรู้สึกเอ็นดูนางให้ได้!
“เจียวลู่”
“พะยะค่ะ ซือหวางเฟย”เจียวลู่ที่ยืนคอยอารักขานางอยู่ตลอดเวลาไม่ต่างจากเงาตามตัวนั้นตอบรับนางด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“ข้าจะไปเข้าเฝ้าหยางอ๋อง เตรียมตัวให้ข้าที”
“ขอประทานอภัย หยางอ๋องยังไม่เสด็จมาจากตรวจตราพะยะค่ะ”
“งั้นข้าจะไปรอ”นางกล่าวอย่างดื้อดึงก่อนจะเดินเข้าห้องไปเพื่อเตรียมตัวเข้าเฝ้าอันตงหยาง
เจียวลู่ถอนหายใจกับความดื้อเงียบของจางลี่ซือผู้นี้ก่อนจะเดินตามไปเพื่อช่วยนางเตรียมตัว
เมื่อมาถึงนางเตรียมจะเดินเข้าเรือนไท่หยางแต่ก็ถูกเจียวลู่ห้ามเอาไว้ก่อนพร้อมกับคำอธิบายว่า…
“เรือนไท่หยางเป็นเรือนส่วนพระองค์ของหยางอ๋อง ใครก็ไม่สามารถเข้าออกได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากหยางอ๋องพะยะค่ะ”
“แต่ข้าเป็นหวางเฟยนะ เหตุใดจึงจะเข้าเรือนของสวามีข้าไม่ได้?”
“ขอประทานอภัยซือหวางเฟย แต่มันเป็นกฎของที่นี่เพื่อความปลอดภัยพะยะค่ะ”
ได้ยินดังนั้นนางก็ได้แต่นึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ แม้นางจะมีตำแหน่งใหญ่รองจากอ๋องหากทว่ากลับไร้อำนาจ
แต่ก็ใช่ว่านางจะไม่เข้าใจ ตำหนักเหนือนั้นส่วนใหญ่ใช้กฎทางการทหาร นางไม่ควรดื้อรั้นสร้างความลำบากให้กับคนที่นี่ นางไม่ใช่เด็กอมมือที่จะไม่รู้จักแยกแยะ แต่ก็อย่างว่านางอดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้เลย
เจียวลู่ใช้ผ้าคลุมของตัวเองปูใต้ร่มไม้เพื่อเป็นที่นั่งให้กับจางลี่ซือ นางนั่งรออย่างเบื่อหน่าย พลางคิดถึงหนทางที่จะทำให้อันตงหยางเอ็นดูนาง
“เจียวลู่”
“พะยะค่ะซือหวางเฟย”
“ข้าจะทำอย่างไรหยางอ๋องจึงจะใจอ่อนเอ็นดูข้าสักนิด?”นางคิดไม่ตก อย่างน้อยหากได้ข้อมูลสักนิดก็อาจจะทำให้นางนึกอะไรออกมาก็ได้
“อืม เรื่องนั้นกระหม่อมก็มิอาจหยั่งรู้ได้ ไม่มีสตรีใดที่หยางอ๋องทรงสนใจเป็นพิเศษพะยะค่ะ”
ได้ยินดังนั้นนางก็ทอดถอนหายใจออกมา หนทางของนางช่างริบหรี่ แม้อันตงหยางจะอนุญาตให้นางอยู่ที่นี่ได้แต่ก็ไม่อาจรู้อนาคตว่าวันใดวันหนึ่งที่อันตงหยางเบื่อหน่ายนางและเห็นว่านางไร้ค่านั้นมาถึง นางอาจจะถูกขับไล่ออกไป
“อ่า ข้าควรทำอย่างไรดี ขืนเป็นเช่นนี้ข้าได้ถูกปลดจากตำแหน่งหวางเฟยในเร็ววันแน่”
“บุรุษมักใจอ่อนให้สตรีในดวงใจเสมอ ลองค่อย ๆ เข้าหาหยางอ๋องดีหรือไม่พะย่ะค่ะ”
“นั่นแหละที่ข้าถามเจ้าว่าข้าควรทำเช่นไรดี”
“ไม่ยากเลยพะยะค่ะ เพียงแค่มาเข้าเฝ้าหยางอ๋องบ่อย ๆ ให้อยู่ในสายตาของท่าน รับรองว่าหยางอ๋องจะต้องนึกเอ็นดูเป็นแน่พะยะค่ะ”
จริงอย่างที่เจียวลู่ว่า หากแต่แค่มาเข้าเฝ้าอย่างเดียวจะเกิดความเอ็นดูได้อย่างไร อีกอย่างการขอเข้าเฝ้าอันตงหยางนั้นจะต้องมีเรื่องให้เข้าเฝ้า แล้วนางจะหาเรื่องอะไรมาเข้าเฝ้าอันตงหยางได้ทุกวี่ทุกวันกัน?
“ซือหวางเฟย หยางอ๋องเสด็จมาแล้วพะย่ะค่ะ”
ได้ยินดังนั้นนางก็หูผึ่ง ผุดลุกขึ้นทันทีแล้วรีบวิ่งไปหาอันตงหยางที่เดินเข้ามาพร้อมกับองครักษ์ เมื่อบุรุษหนุ่มเห็นอิสตรีวิ่งมาหาพร้อมรอยยิ้มก็หยุดชะงัก แต่ทันทีที่นางเห็นคราบเลือดบนร่างกายของบุรุษก็ถึงกับชะงัก หน้าซีดเซียว
กระนั้นก็ยังไม่หยุดก้าวเข้าหา…
“ถวายพระพรเพคะหยางอ๋อง”นางยกมือขึ้นประสานคำนับก่อนจะลดมือลงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อ หมายจะยื่นออกไปเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้กับอันคงหนาว ทว่ากลับถูกเจียวลู่คว้าข้อเล็กเอาไว้เสียก่อน
“มิได้พะยะค่ะซือหวางเฟย”
แม้การอารักขาดูแลจางลี่ซือนั้นจะรู้เห็นทุกอย่าง มั่นใจว่านางไม่มีทางวางยาพิษอันตงหยางเป็นแน่ แต่ก็ไม่อาจผ่อนปรนให้ได้
สตรีตัวน้อยชะงักด้วยความตกใจก่อนจะลดมือลง…
“ให้นางทำ”
“…!?”
เมื่ออันตงหยางเอ่ยปากก็ไม่มีใครคัดค้าน จางลี่ซือลังเลเล็กน้อยว่าควรทำดีหรืไม่ แต่สุดท้ายสายตาของอันตงหยางก็ทำให้นางตัดสินใจยื่นมือออกไปใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้กับบุรุษ
กลิ่นเครื่องหอมของสตรีทำให้กลิ่นเลือดเจือจางลงเล็กน้อย อันตงหยางจ้องมองอิสตรีที่กำลังบรรจงเช็ดเลืิอดบนใบหน้าให้กับตน นางดึงมือกลับเมื่อเห็นว่าคราบเลือดได้ถูกเช็ดออกหมดแล้วก่อนจะเอ่ยว่า…
“ท่านรับสำรับหรือยังเพคะ?”
“ยัง”
“หม่อมฉันก็ยัง ขอรับสำรับพร้อมกันท่านได้หรือไม่เพคะ?”
“ตามใจเจ้า”
ได้ยินดังนั้นนางก็ดีใจจนยิ้มกว้าง เดินตามอันตงหยางเข้าไปด้านในเรือนไท่หยาง
“เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะไปอาบน้ำก่อน ถ้าหิวก็กินก่อนเลย”
“มะ หม่อมฉันถวายงานตอนทรงน้ำให้เองเพคะ”
“…เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?”อันตงหยางถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่สตรีตัวน้อยหาได้รู้ถึงความหมายนั้นไม่ นางพยักหน้าแล้วเดินตามอันตงหยางไปทันที
เมื่อมาถึงสระน้ำซึ่งเป็นคนละสถานที่กับเมื่อครั้งก่อน อันตงหยางก็โบกมือไล่องครักษ์จึงเหลือแค่ตนกับอิสตรีเพียงลำพัง บุรุษปลดอาภรณ์ของตนแล้วเดินลงไปแช่ในน้ำ จางลี่ซือจัดเตรียมอุปกรณ์แล้วเดินไปนั่งคุกเข่าตรงขอบสระ จัดการวางผ้าไว้บนบ่าแล้วถูเบา ๆ ทั้งคอ หัวไหล่ แขนและแผ่นหลัง
ในตอนที่นางคิดว่าเท่านี้คงเพียงพอแล้วกลับถูกอันตงหยางดึงข้อมือเล็กจนหน้าคว่ำลงน้ำ แขนแกร่งโอบเอวบางแล้วดึงตัวนางขึ้นมาก่อนจะโอบกระชับแนบกาย ไม่ทันที่นางจะได้สูดอาการหายใจบุรุษก็ก้มหน้าจุมพิตนางอย่างดูดดื่มทันที
สองฝ่ามือเล็กยึดบ่าหนาเอาไว้แน่น ในขณะที่ท้ายทอยของนางถูกกระชับให้แหงนหน้าขึ้นรับจุมพิต ร่างบางถูกโอบรัดจนไม่อาจขยับขัดขืนได้เลย เรียวลิ้นสากชอกชอนเข้าไปในโพรงปากอย่างย่ามใจ ตักตวงความหอมหวานจากสตรีตัวน้อยราวกับจะกลืนกินนางไปทั้งตัว
จางลี่ซือแทบหมดลมเมื่อริมฝีปากถูกบดเคล้าอย่างแนบแน่น กดลงมาอย่างหนักหน่วงราวกับต้องการกลั่นแกล้งนาง แรงโอบกระชับจากวงแขนแกร่งเต็มไปด้วยความปรารถนาในตัวนาง
อันตงหยางผละริมฝีปากออกแล้วเปลี่ยนไปซุกไซร้ซอกคองามระหงแทน บุรุษสูดกลิ่นกายสตรีอย่างย่ามใจและนึกคิดไปว่ากลิ่นนี้เป็นกลิ่นจากเครื่องหอมของสตรีหรือเป็นกลิ่นกายของจางลี่ซือเองกันแน่
โครกคราก
แต่แล้วอารมณ์ปรารถนาก็ถูกดับลงเมื่อเสียงท้องของสตรีในอ้อมกอดดังขึ้น จางลี่ซือหน้าแดงด้วยความอาย นางเม้มริมฝีปากแน่นแล้วหันเหไปทางอื่น ไม่กล้าสบตากับบุรุษตรงหน้า
“หึ ก่อนจะกินเจ้าคงต้องให้เจ้ากินอย่างอื่นก่อนสินะ”
จางลี่ซืออายจนแทบอยากแทรกแผ่นดืนหนีกับคำพูดและเสียงหัวเราะเบา ๆ ของอันตงหยาง!