หลังจากวันนั้นจางลี่ซือก็เทียวไปหาลูกปีศาจเสืออยู่ตลอดทั้งวัน แวะไปเล่นบ้าง พูดคุยบ้าง เอาอาหารไปให้บ้าง จนลูกปีศาจเสือตัวนั้นยอมเข้าใกล้ แน่นอนว่ายอมให้จางลี่ซือเข้าใกล้แต่เพียงผู้เดียว นางจึงสามารถรักษาบาดแผลให้กับลูกปีศาจเสือตัวนี้จนหายดีได้
ช่วงสายของวันนั้นเองนางได้หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปักลวดลายเสือขาว นางปักมาได้สามวันแล้ว ฝีมือนางแม้ไม่ได้งดงามมากนักแต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ จางลี่ซือมองด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะเก็บมันใส่อกเสื้อแล้วเตรียมไปรับสำรับกับอันตงหยางทันที
บุรุษเดินออกมาจากเรือนไท่ยางพอดีนางจึงรีบวิ่งไปดักหน้าเช่นทุกทีก่อนจะคำนับอย่างนอบน้อม เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ฉีกยิ้มหวานก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นไปตรงหน้าของอันตงหยาง
“หยางอ๋ องไม่ค่อยพกผ้าเช็ดหน้า หม่อมฉันจึงขอให้เจียวลู่ไปหาผ้าชั้นดีมาให้แล้วปักลวดลายนิดหน่อยลงบนผ้าเพคะ...”สองมือขยุกขยิกขณะยื่นมันออกไป อันตงหยางยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์จากทางสายตาของบุรุษได้เลย”หม่อมฉันหวังว่าหยางอ๋องจะพอพระทัยเพคะ...”
เมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมรับสักทีทำให้นางใจเสีย พลางคิดว่านี่อาจจะเป็นการรบกวนอันตงหยางมากเกินไป ไม่แน่ว่าการทำเช่นนี้อาจจะทำให้เกิดความรำคาญใจก็เป็นได้ อะไรที่น้อยไปมักไม่ดี อะไรที่เกินพอดีก็มักไม่ดีเช่นกัน
จางลี่ซือดึงมือกลับ ทว่าอันตงหยางกลับยื่นมือออกมาจับผ้าเช็ดหน้าเอาไว้
“ให้ข้ามิใช่หรือ?”
“เพคะ...”
นางปล่อยมือจากผ้าเช็ดหน้าแล้วยิ้มกว้าง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะรับไว้เพราะกลัวนางเสียน้ำใจหรือรับไว้เพราะเหตุผลอื่นก็ตาม แต่นางก็ดีใจ
...ข้าคาดหวังได้หรือไม่ว่าหยางอ๋องเอ็นดูข้ามากขึ้นแล้ว?...
ทั้งสองรับสำรับยามจงอู่วด้วยกันทุกวันจนแทบเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วในตอนนี้ หากเป็นก่อนหน้านี้อันยงหยางมักรับสำรับไม่เป็นเวลา ว่างตอนไหนก็ตอนนั้น ยิ่งช่วงไหนมีภารกิจปราบปีศาจก็ไม่รับสำรับยามจงอู่วเลย ทว่าช่วงนี้กลับรับสำรับตรงเวลาทุกวัน
“ลูกปีศาจเสือขาวหายดีแล้ว เจ้าทำได้ดีมาก ข้าจะตบรางวัลให้”เมื่อกินอาหารเสร็จอันตงหยางก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้น
“ขอบพระทัยเพคะหยางอ๋อง”นางว่าพลางประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม”เช่นนั้นหม่อมฉันขออุปกรณ์สำหรับวาดรูปเพคะ!”
“เจียวลู่จัดเตรียมให้นางพรุ่งนี้”หันไปบอกกับเจียวลู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของนาง
“พะยะค่ะ”
“ต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?”
“อืม...อยากให้หยางอ๋องเอ็นดูหม่อมฉันเพคะ”ไม่ว่าเปล่า จางลี่ซือส่งยิ้มหวานหยดย้อยอีกทั้งแก้มของนางยังแดงระเรื่อ
อันตงหยางกระตุกยิ้มบางเบาก่อนจะว่า
“เหตุใดข้าต้องเอ็นดูเจ้าด้วย?”
“เอ่อ ก็...หม่อมฉันไม่น่าเอ็นดูหรือเพคะ”สองมือยกขึ้นประกบแก้มแล้วส่งยิ้มให้อันตงหยางด้วยความออดอ้อนสุดฤทธิ์ แม้ว่าอีกฝ่ายไม่แสดงอาการอะไรออกมานอกจากยิ้มมุมปากบาง ๆ ก็ตาม
แต่แทนที่จะได้คำตอบ อันตงหยางกลับเปลี่ยนเรื่องคุยแทน ทำเอาจางลี่ซือหน้างอ
“พรุ่งนี้ข้าจะเอาลูกสัตว์ปีศาจไปปล่อย วันนี้เจ้าก็ไปร่ำลาเสีย”
“ปล่อยหรือเพคะ!”
“อืม สัตว์ก็ต้องอยู่ในป่า ยิ่งเป็นสัตว์ปีศาจด้วยแล้วยิ่งไว้ใจไม่ได้”
“แต่ว่ามันยังเป็นเพียงลูกสัตว์ตัวเล็ก ๆ”
“สัตว์ควรใช้ชีวิตตามธรรมขาติของมัน เพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่รอดในธรรมชาติ เจ้ารักษาบาดแผลให้มันแล้วถือว่าได้ช่วยมากพอสมควรแล้ว ควรส่งมันกลับคืนสู่ป่าโดยเร็ว”
แม้จะเศร้าใจแต่สิ่งที่อันตงหยางพูดนั้นนางปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ สัตว์ควรเรียนรู้ที่จะใช้ขีวิตอยู่กับธรรมชาติ หากอยู่กับมนุษย์นานไปมันอาจจะไม่สามารถเอาตัวรอดในธรรมชาติได้เลยก็ได้
หลังจากรับสำรับร่วมกันเสร็จนางก็รีบไปหาลูกปีศาจเสือทันมี ตลอดเวลาที่ผ่านมาจางลี่ซือมาเล่นกับมันตลอด ถือว่ามันเป็นเพื่อนเล่นคนหนึ่ง อีกทั้งยังมองว่ามันคล้ายกับตนจึงเกิดความผูกพันขึ้นมาแม้ใช้เวลาไม่นาน
คิดแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะกอดมันแนบชิดกายแล้วร่ำไห้ออกมา
…ข้าขอโทษที่ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ การส่งเจ้ากลับคืนสู่ป่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เพราะข้ามิอาจรับตัวเจ้าไว้ได้ ลำพังตัวข้ายังเอาไม่รอดเลย…
จางลี่ซืออยู่เล่นกับลูกปีศาจเสือนานกว่าวันไหน สุดท้ายเจียวลู่ต้องเอ่ยปากให้นางรีบกลับไปรับสำรับที่เรือนโม่ลี่ฮวาเพราะเวลานี้ท้องนภาเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว
วันต่อมาเป็นเพราะนางร่ำไห้จนตาบวมแดงนางจึงให้เจียวลู่ทูลกับอันตงหยางว่าวันนี้นางไม่สามารถรับสำรับร่วมกันเช่นเดิมได้ และแทนที่เจียวลู่จะสงสารกลับหัวเราะกับดวงตาคู่งามที่บัดนี้บวมเป็นลูกมะนาว สร้างความชิงชังให้กับจางลี่ซือจนนางแง่งอนตลอดทั้งจ่าวชัง
ทว่ากลับยิ้มอารมณ์ดีราวกับไม่เคยโกรธเคืองกันมาก่อนเมื่อเจียวลู่นำอุปกรณ์วาดรูปมาถวายแม้จะเป็นในนามของอันตงหยางก็ตาม แต่คนที่หามาให้นางก็คือเจียวลู่
จากที่วัน ๆ ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากคิดวิธีออดอ้อน เอาอกเอาใจอันตงหยางให้เกิดความเอ็นดูไปวัน ๆ ก็มีลูกปีศาจเสือเข้ามาให้คลายเหงา บัดนี้มันถูกส่งกลับคืนสู่ป่าแล้วนางจึงรู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย ทว่าในตอนนี้นางมีสิ่งอื่นให้ทำแล้ว ซึ่งก็คือการวาดรูปที่นางโปรดปราน
แน่นอนว่ารูปแรกที่ปลายพู่กันของนางสรรค์สร้างขึ้นมานั้นก็คือเจ้าลูกปีศาจเสือขาวที่น่าเอ็นดู ด้วยความคิดถึงสหายสุดหัวใจ ป่านนี้จะอยู่รอดปลอดภัยในป่าดีหรือไม่ก็ยากที่จะหยั่งรู้ ในสายตาของนางเจ้าลูกปีศาจเสือก็ยังเป็นเพียงลูกเสือตัวเล็ก ๆ
“เจียวลู่”
“พะยะค่ะซือหวางเฟย”
“เจ้าคิดว่าลูกปีศาจเสือตัวนั้นจะเป็นเช่นไรบ้าง?”
“แม้จะเป็นปีศาจแต่ก็เป็นสัตว์ และสัตว์ทุกตัวย่อมอยู่รอดในธรรมชาติ ซือหวางเฟยอย่าห่วงไปเลยพะยะค่ะ”
แม้เจียวลู่จะเอ่ยออกมาเช่นนั้นแต่นางก็ยังไม่คลายกังวล เสือตัวนั้นมีชีวิตที่คล้ายกับนางมาก
“เช่นนั้นลองเอารูปวาดไปถวายหยางอ๋องดีหรือไม่พะยะค่ะ เผื่อว่าจะทรงใจอ่อนยอมให้ซือหวางเฟยออกไปเที่ยวเล่นหามันในป่าบ้างในยามที่หยางอ๋องทรงออกลาดตระเวน”
สิ่งที่เจียวลู่เสนอมาทำเอานางตาลุกวาว นาน ๆ ทีเจียวลู่จะเสนอความคิดที่ถูกใจนางเช่นนี้ ปกติแล้วจะนิ่งเฉยไม่ต่างอะไรจากผู้เป็นนาย บางครั้งก็มีอารมณ์ขันแอบแกล้งนางอยู่เหมือนกัน
“เป็นความคิดที่ดี”นางว่าพลางยิ้มกว้างมองดูภาพวาดเสือขาวตัวน้อยในกระดาษวาดภาพอย่าวภาคภูมิใจ
“จวนได้เวลารับสำรับแล้วพะยะค่ะ”
“ทูลหยางอ๋องว่าข้าไม่สะดวก แต่อย่าบอกเด็ดขาดว่าข้ากำลังวาดภาพอยู่ ข้าอยากสร้างความประทับใจให้หยางอ๋อง”
“รับทราบพะยะค่ะ”
เจียวลู่ประสานมือคำนับก่อนจะเดาออกไป จางลี่ซือวาดภาพและร้องเพลงด้วยเสียงใส ๆ อย่างอารมณ์ดี
ในวันเดียวกันนั้นเอง จางลี่ซือถูกเรียกให้ไปถวายงานขณะอาบน้ำ นางจึงเตรียมน้ำมันหอมสำหรับนวดตัวไปด้วย เมื่อมาถึงก็ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อมแล้วรีบเข้าไปปรนนิบัติทันที
“หยางอ๋องเพคะ”ขณะที่ผ้าถูตามเนื้อตัวของบุรุษก็เอ่ยปากถามขึ้น
“อืม”
“คือว่าพรุ่งนี้หยางอ๋องจะออกลาดตระเวนอีกหรือเปล่าเพคะ?”
“อืม”
“หม่อมฉันขอติดตามไปด้วยนะเพคะ”
“ไม่ได้”
“เหตุใดไม่ได้เพคะ? หม่อมฉันสัญญาว่าจะไม่ทำตัวเป็นภาระท่านแน่นอนเพคะ”
“ไม่ได้ เจ้าดื้อรั้นนัก แม้จะพูดเข่นนี้แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ก็คงออดอ้อนให้ข้าอีก”
พอถูกรู้ทันนางก็เงียบปากลง อันตงหยางเหลือบมองสตรีตัวน้อยที่คอตกแต่ก็ยังปรนนิบัติตนไม่ห่าง ฝ่ามือเล็ก ๆ กำลังลงน้ำมันหอมลงบนฝ่ามือก่อนจะเอ่ยปากว่า
"หยางอ๋องทรงขึ้นจากน้ำก่อนเพคะ หม่อมฉันจะลงน้ำมันหอมนวดให้ท่าน”
ในขณะที่จางลี่ซือเอ่ยเช่นนั้น เจียวจิ้นกับเจียวลู่ก็เตรียมเอ่ยค้าน ทว่ายังไม่ทันจะส่งเสียงอะไรออกไปก็ถูกสายตาของบุรุษตวัดมองเป็นการส่งสัญญาณให้เงียบปาก สององครักษ์มองกันลักเลิ่กก่อนจะโค้งตัวให้เล็กน้อย
อันตงหยางทำตามอย่างว่าง่าย ใช้ฝ่ามือจับขอบสระแล้วยกตัวเองขึ้นมานั่งบนขอบ ปล่อยให้ฝ่ามือเล็ก ๆ คู่นั้นนวดร่างกายของตนตามใจนาง
ยกมือขึ้นโบกไล่องครักษ์ในตอนที่จางลี่ซือบรรจงลงน้ำมันหอมบนแขนของตน ทำให้นางไม่ทันสังเกตเห็น ตอนนี้ภายในห้องอาบน้ำจึงเหลือเพียงแค่บุรุษร่างกำยำกับสตรีตัวน้อยเพียงลำพัง
“เจ้าขุ่นเคืองใจหรือไม่”?”