บริษัทนธีร์ยานยนต์
“พิมพ์ ท่านรองยังไม่มาเหรอ” ครีมถามหาเจ้านายของเพื่อน
“ยังเลยครีม ไม่รู้จะมาหรือเปล่า หากมีอะไรท่านประธานคงให้เราโทรศัพท์หาเองแหละ ว่าแต่เธอมีอะไรไหม” พิมพ์มาลากำลังตรวจงานบนโต๊ะทำงาน
“ไม่มีหรอกแค่เป็นห่วง เจ้านายเธออารมณ์เหมือนเมนส์ไม่มา หงุดหงิดได้ทุกวันทุกเวลา นึกยังไงถึงย้ายมาเป็นเลขานุการของเขา” เพื่อนสนิทร่ายยาว
“พูดมากน่าครีม นินทาเจ้านายไม่ดีนะ” หญิงสาวกลัวคนอื่นมาได้ยิน แล้วเอาไปฟ้องชายหนุ่มและจะเดือดร้อนเอาได้
“อื้อ เดี๋ยวใกล้เที่ยงโทรศัพท์หานะ” ก่อนจะปลีกตัวกลับไปยังที่ทำงาน
ช่วงเช้า พิมพ์มาลาแค่ตรวจเอกสารไม่มีอะไร เธอมองต้นทางก็ไม่เห็นเจ้านาย
จากนั้นก็นั่งก้มหน้าตรวจงานจนกระทั่งใกล้ถึงเที่ยง เสียงมือถือดังขึ้น เธอรีบยกขึ้นมาดูเห็นเบอร์แปลก ๆ หญิงสาวช่างใจจะรับหรือไม่รับดี สุดท้ายก็กดรับ
(“สวัสดีค่ะ พิมพ์มาลาพูดค่ะ”) เอ่ยขึ้นอีกรอบ เมื่อต้นทางเงียบกริบไม่ยอมพูด
(“ดิฉันขอวางนะคะ”) เสียเวลาตรวจงาน ก่อนจะถือมือถือไว้สักพักเผื่อคนทางนั้นจะพูด แต่กลับเงียบ เธอจึงกดวางสายทันที เธอคิดว่าเป็นพวกโรคจิต
ช่วงพักกลางวัน สองสาวเพื่อนซี้พากันลงมากินข้าวที่ร้านอาหารในบริษัท เหล่าพนักงานจำนวนมากมาออกันตามร้านอาหาร ทำให้สองสาวเลือกเดินออกมานอกบริษัทมานั่งกินข้าวร้านตามสั่ง
ความหิวทำให้สองสาวรีบตักข้าวใส่ปาก โดยไม่มีการพูดคุย จนกระทั่งข้าวหมดจานถึงได้คุยกัน
“พิมพ์คืนนี้ไปงานวันเกิดพี่นุชกันไหม” ครีมที่อ่านไลน์กลุ่ม
“ไปกันที่ไหนเหรอครีม” หญิงสาวถามเพื่อน
“แป๊บนะ” ครีมส่งไลน์หาพี่นุช
“สถานบันเทิงตอนหนึ่งทุ่ม”
พวกเธอมักจะไปเที่ยวกลางคืนกันเป็นกลุ่มและตามวันสำคัญของเพื่อน ๆ หรือตามวันหยุดที่หยุดติดต่อกันหลายวัน ส่วนใหญ่พิมพ์มาลาไม่ค่อยได้ไปบ่อย
เธอไม่อยากใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ต้องเก็บเงินไว้ใช้หนี้บางส่วน ไหนจะส่งให้ยายทุกเดือนอีก หลายครั้งจึงปฏิเสธเพื่อน ๆ ไป
“ดูก่อนนะครีม เดี๋ยวเราบอก” เธอไม่แน่ใจกลัวมีงานด่วน ยิ่งเจ้านายเธอไม่เหมือนชาวบ้านอยู่ด้วย
“นาน ๆ ทีอยากให้ไปเปิดหูเปิดตา อุดอู้แต่ในห้องน่าเบื่อ” เพราะความเป็นห่วงอยากให้ได้ออกไปดูชีวิตข้างนอกบ้าง
ทั้งสองแยกย้ายกันหลังจากกินข้าวอิ่ม พิมพ์มาลาเดินไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะออกมานั่งที่โต๊ะทำงานเช่นเดิม หญิงสาวรู้สึกแปลกใจตงิด ๆ จึงเดินเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านาย เธอโล่งใจที่เจ้านายไม่ได้เข้ามาทำงาน
เธอทำงานจนถึงเวลาเลิกงาน เมื่อตรวจความเรียบร้อยในห้องทำงานของชายหนุ่มเสร็จ เธอล็อกประตู และคว้ากระเป๋าสะพายพาดบ่าเดินออกจากที่ทำงาน ทว่าถูกเรียกให้ไปพบท่านประธานสุเมธที่ห้องทำงาน เธอจึงเดินเลี้ยวกลับ
“สวัสดีค่ะคุณท่าน” เธอถูกให้เรียกเช่นนี้แทนที่ท่านประธาน
“หนูพิมพ์ วันนี้เจ้าธีร์มันมาทำงานไหม” ปกติถ้าไม่เรียกมาพบก็จะโทรศัพท์มาถามไถ่หาลูกชาย
“วันนี้คุณธีร์ไม่ได้เข้าบริษัทค่ะ คุณท่านมีอะไรจะใช้หนูไหมคะ” เธอไม่อยากให้พ่อของชายหนุ่มคิดมาก พักนี้สุขภาพท่านไม่ค่อยจะดี
“เฮ้อ ไอ้ลูกคนนี้เมื่อไหร่มันจะมีความรับผิดชอบเสียทีนะ” เสียงถอนหายใจหนัก ๆ
“คุณท่านอย่าคิดมากเลยค่ะ เดี๋ยวไม่สบายนะคะ” หญิงสาวทำได้เพียงให้กำลังใจแก่คนสูงอายุเท่านั้น เธอคือคนนอกจะก้าวก่ายมากก็ดูไม่ดี
“ยายหนูโชคดีนะที่มีหลานแบบหนู ถึงไม่ร่ำรวยแต่ก็มีความสุข มากกว่าพวกฉัน”
ยามที่นึกถึงครอบครัวหญิงสาวที่มีกันสองคนยายหลาน แต่กลับมีความสุขเสียยิ่งกระไร ความเป็นมาก่อนที่หญิงสาวจะได้เปลี่ยนหน้าที่ คุณสุเมธเป็นคนช่วยจ่ายค่ารักษาโรงพยาบาลให้แก่ครอบครัวหญิงสาว
หลังจากที่ทราบข่าวจากพนักงานที่นี่ พูดถึงเด็กสาวฝึกงานในช่วงสามปีที่ผ่านมา ยายเข้าโรงพยาบาลไม่มีค่ารักษา ท่านสุเมธจึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลและเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด
“อะไรนะคะ” พิมพ์มาลาพนักงานฝ่ายเอกสาร
“อื้อ ตามที่บอกหนูนั่นแหละ” คุณสุเมธนั่งประสานมือบนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่
“คุณท่านจะให้หนูไปเป็นเลขานุการของคุณนธีร์เหรอคะ”
เหมือนหญิงสาวจะหนักใจกับคำพูดของท่านประธาน เธอได้ยินหลายคนพูดถึงชายหนุ่มในแง่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“อื้อ ถ้าหนูไม่อยากรับหน้าที่นี้ ฉันก็ไม่บังคับ เพราะคงไม่มีใครทนพฤติกรรมของเจ้าธีร์มันได้หรอก”
ทุกครั้งที่มีเลขานุการคนใหม่ก็ต้องถูกไล่จนอยู่ที่นั่นไม่ได้ ด้วยความที่คุณสุเมธช่วยเหลือด้านการเงินให้กับทางครอบครัว แม้จะลำบากใจแต่เธอก็อยากตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยเหลือ หญิงสาวสูดหายใจจนไหล่กระเพื่อมขึ้น ก่อนตัดสินใจตกลง
“ค่ะคุณท่าน หนูตกลงค่ะ” อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ ท่านประธานสุเมธเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวรุ่นคราวลูก ท่านรู้สึกถูกชะตากับพิมพ์มาลาอย่างบอกไม่ถูก ท่านเชื่อว่าหญิงสาวต้องรับมือกับลูกชายที่ไม่เอาถ่านได้ดี
“หากฉันทำให้หนูลำบากใจ หนูเปลี่ยนใจได้นะ” ท่านรู้กิตติศัพท์ลูกชายดี
“อื้อ หนูเต็มใจค่ะ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแม้จะหวั่นไหวบ้าง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“ขอบใจนะหนูพิมพ์ ฉันเชื่อใจเธอว่าต้องเปลี่ยนนิสัยของเจ้าธีร์มันได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ขอบใจหนูอีกครั้งนะ”
รอยยิ้มอย่างมีความหวังที่จะให้ลูกชายเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้บ้าง ไม่ใช่มัวแต่ขลุกอยู่ที่อู่ซ่อมรถ จนไม่ยอมสนใจงานบริษัทเช่นนี้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หญิงสาวก็ย้ายมาทำงานเป็นเลขานุการของลูกชายท่านบริษัท