เข้าใจที่แปลว่าไม่เข้าใจ...ฮึบไว้เจนนินทร์ อย่ามีน้ำตาให้เขาเห็นตอนนี้
“ในเมื่อพี่เชื่อว่าเจนกับไรวินท์มีอะไรกัน
แล้วมาอยู่ตรงนี้ทำไม จากกันไปหลายเดือนจนทำใจได้อยู่แล้วมั้ง จะโผล่กลับมาทำไม
จะเกลียดกันก็เกลียดให้ตลอดรอดฝั่งสิ”
ก็เพราะความเกลียดมันเอาชนะความรักไม่ได้ไงล่ะ
บวกกับอยากรู้ว่าเด็กในท้องมีสิทธิ์เป็นลูกของเขาหรือไม่ กันต์ดนัยยอมรับว่ายังเชื่อว่าเธอกับไรวินท์มีอะไรที่มากกว่าเพื่อนร่วมงาน
สิ่งที่เขาเห็นมันรุนแรงต่อความรู้สึกมากจริงๆ
แต่ถึงจะเสียใจอย่างไร
กันต์ดนัยก็ไม่ตั้งใจให้การเลิกราของเขากับเจนนินทร์ออกสู่สายตาสาธารณชนด้วยเหตุผลรุนแรง
แต่เพราะเรื่องเกิดขึ้นท่ามกลางกองถ่ายละครที่มีคนในมากมาย จึงไม่สามารถปกปิดได้
สังคมรุมประณามถึงความหน้าไม่อายของเจนนินทร์ ไรวินท์ก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย
แต่รายนั้นอาศัยความด้านชาจนสามารถกลับมามีตัวตนในวงการมายาได้อีกครั้ง
“พี่ก็อยากเชื่อใจเจนนะ
แต่...” กันต์ดนัยเอ่ยหลังจากปล่อยความเงียบทำงานอยู่ครู่ใหญ่
“แต่พี่เชื่อใจคนอื่นมากกว่า”
หล่อนต่อประโยคนั้นให้สมบูรณ์และพูดโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย
“คนอื่นที่ว่านั่นใคร”
“คนที่คุณก็รู้ว่าใคร”
“อย่ามาเล่นลิ้นน่า”
เจนนินทร์กลอกตามองบนพลางบุ้ยปากไปตรงตู้เย็น
“มีปลานะ เอามาทำกับข้าวสิ เผื่อจะได้ฉลาด”
ดูคำพูดคำจา
มันน่าจับมาปรับทัศนคติเสียจริง กันต์ดนัยได้แต่ส่ายหน้าระอา
หากต่อความยาวสาวความยืดด้วยอีกก็คงไม่จบง่ายๆ เผลอๆ มื้อเช้านี้คงกร่อยลิ้นไปอีก
ฉะนั้นเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า
“เจนอยู่ที่นี่กับคุณน้าแค่สองคนเองเหรอ
ทั้งวันทั้งคืนไม่ออกไปไหนเลยหรือไง บรรยากาศตอนเย็นพี่ว่ามันวังเวงน่ากลัวนะ”
“ก็ไม่แปลกที่คนขวัญอ่อนใจเสาะจะมองว่าน่ากลัว”
จึ้ก!
ปักเข้ากลางอกอีกดอก หล่อนจะจิกจะกัดเขาไปถึงไหนกัน
ดูท่าแล้วคงโดนใบมีดพุ่งใส่กลางใจแบบนี้จนกว่าจะกลับกรุงเทพฯ เสียล่ะมั้ง
“จ้าแม่คนขวัญแข็ง
ถึงจะเก่งยังไงแต่เรากับคุณน้าก็เป็นผู้หญิง แถมเจนกำลังท้องอยู่
มีกันแค่สองคนแบบนี้ก็ออกจะน่ากลัวไปหน่อยนะ แล้วผู้ชายเมื่อวานล่ะไปไหน
พี่ไม่เห็นเขาเลย”
“วันนี้เป็นวันหยุดของพี่ต้องค่ะ
จริงๆ เราสองแม่ลูกก็ไม่อยากจะจ้างใครแล้ว รีสอร์ตก็ปิดตัวลงโดยสมบูรณ์
แต่พี่ต้องเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ เป็นคนที่คุณพ่อคุณแม่เอ็นดูเคยมอบทุนการศึกษาให้จนจบป.ตรี
แกเป็นคนที่นี่ เรียนจบก็อยู่ที่นี่
รีสอร์ตปิดตัวแกก็ยังยึดติดไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร เมียก็เพิ่งมีลูกอ่อนอีก จริงๆ
ก่อนหน้านี้เมียแกก็เป็นแม่บ้านที่รีสอร์ตนี้นะ
บ้านพี่ต้องอยู่ห่างจากที่นี่แค่สามร้อยเมตรเอง
คุณแม่เห็นว่าเขาไว้ใจได้ก็เลยจ้างต่อให้ดูแลเรื่องจิปาถะทั่วไป”
“ฟังดูก็เป็นคนที่พอพึ่งพาได้อยู่นะ”
ค่อยเบาใจขึ้นหน่อย แต่ก็ไม่ทั้งหมด
กันต์ดนัยมองว่าเรไรและเจนนินทร์ควรอยู่ในสถานที่ที่ความปลอดภัยมีมากกว่านี้
โดยเฉพาะตอนนี้ที่อยู่ภายใต้สถานการณ์อ่อนแอด้วยกันทั้งคู่
กันต์ดนัยตั้งใจทำอาหารโดยมีว่าที่คุณแม่เท้าคางนั่งคอยอยู่ที่เดิม
เธอไม่ใช่ฝ่ายชวนคุยแต่เป็นกันต์ดนัยเสียมากกว่า ซึ่งหลังๆ
มาเขาเรียนรู้ว่าควรพูดให้น้อยคำ
เพราะเจ้าหล่อนนั้นสามารถเป่าลูกดอกใส่ตนได้ทุกช่วงที่มีโอกาส
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงอาหารเช้าฝีมือกันต์ดนัยก็วางเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารหน้าระเบียงแบบเปิดโล่ง
เมนูเช้านี้คือผัดกะเพราหมูสับไม่เน้นรสเผ็ด ต้มจืดไข่น้ำ และผัดวุ้นเส้นใส่กุ้ง
“อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ
โดยเฉพาะผัดกะเพรา น้าเพิ่งเคยทานฝีมือคุณกันต์ ดีงามจริงๆ
แบบนี้ลูกสาวน้าก็รอดตายแล้วสินะ นี่ถ้าเช้านี้ไม่มีคุณกันต์น้าก็คงได้ทานไข่ต้มตามเคย”
ซึ่งดูเหมือนเป็นเมนูประจำวันเสาร์อาทิตย์ไปแล้ว
เจนนินทร์เบะปากน้อยใจมารดา
ทว่าตรงข้ามกับความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ข้างใน
นี่คงเป็นข้อดีเดียวของการมาของกันต์ดนัย เขาทำให้เรไรยิ้มกว้างขึ้น
แววตาเต็มอิ่มและพูดได้ยาวเหยียดกว่าที่เคย
เสน่ห์โดยธรรมชาติของกันต์ดนัยยากที่ใครจะปฏิเสธ
เขาน่ารักโดยเนื้อแท้ จริงใจไม่แอบแฝง อ่อนน้อมถ่อมตน เข้าหาผู้ใหญ่เก่ง
สามารถฝ่ารั้วเหล็กสูงที่บิดาผู้เคร่งครัดเรื่องผู้ชายกับลูกสาวก้าวเข้ามาได้อย่างสง่างาม
กันต์ดนัยได้รับการยอมรับจากครอบครัวของเจนนินทร์ตั้งแต่วันแรกที่เธอพาเขาไปพบพ่อแม่
“แล้วนี่ช่วงนี้ว่างเหรอจ๊ะ
จะอยู่ต่ออีกกี่วันล่ะ”
“ผมได้วันพักผ่อนเจ็ดวันครับ
ถ้าคุณน้าไม่ว่าอะไรผมขออยู่ต่อจนกว่าจะหมดโควตาวันหยุดได้ไหมครับ”
“ไม่ได้ค่ะ
มาที่นี่เพื่ออะไรยังไม่รู้เลย” ผู้เป็นลูกสาวแทรกขึ้นเสียงดุ
“ไม่ได้มาง้อเจนหรอกเหรอ”
เรไรปรายคำถามไปทางหนุ่มสาวสลับกัน
เมื่อเห็นทั้งคู่วางสีหน้าอึดอัดจึงไม่รอเอาคำตอบ “เรื่องรักๆ ใคร่ๆ
มันละเอียดอ่อนเนอะ ถ้าพูดยาก ตัดสินใจยาก งั้นค่อยรอเจนคลอดก่อนก็ได้
เจนห่วงลูกสาวเขามาก เขาเอาแต่พูดว่าไม่อยากคิดไม่อยากเครียดกลัวจะส่งผลต่อลูก
ส่วนคุณกันต์ถ้าอยากอยู่ต่อก็ตามสบายเลยนะ น้าไม่ว่าอะไร”
“ขอบคุณครับคุณน้า”
กันต์ดนัยตอบแทนน้ำใจด้วยการตักอาหารใส่จานเรไร
ส่วนว่าที่คุณแม่หน้าบูดก่อนกระแอมเสียงว่า
“ยอมให้อยู่ต่อก็ได้
แต่คิดค่าห้องคืนละห้าพันเหมือนเดิม”
“ตกลงครับ”
ยอมๆ ให้หล่อนขูดเลือดขูดเนื้อดีกว่าโดนตะเพิดไล่
“เปลี่ยนใจล่ะ
คิดคืนละห้าหมื่นดีกว่า”
“ลูกสาวคุณน้านี่เป็นมิตรดีนะครับ...มิจฉาชีพสุดๆ”
เจนนินทร์เชิดหน้าไม่สะท้านต่อคำค่อนแขวะ
เพียงได้ยินเสียงหัวเราะจากเรไรก็รู้สึกดีขึ้นมาก “เดี๋ยวเจนจะเข้าเมือง คุณแม่ไปด้วยกันไหมคะ
เจนจะไปซื้อของเข้าบ้านสักหน่อยและก็ไปพบคุณหมอตามนัด”
“แม่อยากอยู่บ้านมากกว่า
ไม่อยากออกไปข้างนอกเลย”
เป็นแพทเทิร์นคำปฏิเสธที่เจนนินทร์ได้ยินทุกครั้งยามชวนเรไรออกไปข้างนอก
ลูกสาวไม่ดึงดัน เคารพความรู้สึกของคนสูญเสียที่อยากจมจ่อกับหัวใจที่ลอยหายไปปรโลก
แต่ใช่ว่าเธอไม่ห่วงแม่
เจนนินทร์ไม่อยากทำเก่งสอนคนแก่
ก็ได้แต่หวังว่ากาลเวลาและหลานสาวตัวน้อยที่รอลืมตาดูโลกจะทำให้เรไรกลับมาสดใสดังเดิม
“ค่ะ
ถ้าคุณแม่อยากได้อะไรก็โทร.บอกเจนได้เลยนะคะ”
เรไรพยักหน้ากับลูกสาวและหันไปทางว่าที่ลูกเขย
“คุณกันต์ถ้าไม่มีอะไรทำก็ไปกับเจนได้นะคะ ที่นี่ไม่มีกิจกรรมอะไรหรอกค่ะ”
“คุณแม่อะ
เปิดทางให้เขาทำไมนักหนา หนูไปเองหายใจหายคอสะดวกกว่า”
“พูดอย่างกับพี่ไปแย่งอากาศเธองั้นแหละ”
“ก็เห็นหน้าแล้วอึดอัดหายใจไม่ออกไง”
“ดื้อให้มันน้อยๆ
หน่อยเรา จะเป็นแม่คนแล้วนะ”
“จริงครับคุณน้า
เถียงก็เก่ง ผมกลัวลูกคลอดออกมาจะรั้นเหมือนแม่เขา” กันต์ดนัยได้ทีสำทับกับเรไร
มีการหันไปยักคิ้วเยาะ
คนท้องทำได้เพียงเข่นเขี้ยวครางหงิงๆ
อย่างหงุดหงิด ครั้นจะอ้าปากด่าก็เกรงสายตามารดาที่ส่งความนัยปรามอยู่ในที
ว่าที่คุณแม่จึงก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร พออิ่มแล้วก็กลับขึ้นห้องไปเตรียมตัวเข้าเมือง