ตอนที่9

945 Words
แอชตันจ้องมองเธอคล้ายกับระอาที่เธอช่างไม่รู้อะไรเลย แล้วจึงบอกในวินาทีต่อมาให้เธอหายข้องใจว่า “เรื่องพินัยกรรมของพ่อเธอไง” คำตอบของเขาทำให้เธอจ้องมองเขาเขม็งด้วยความประหลาดใจเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ มิสเตอร์แอดดิสัน” ทว่าคำถามของเธอกลับทำให้มหาเศรษฐีหนุ่มยักไหล่ เขามองเธอพลางเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทีหยิ่งยะโส “ใครจะไปรู้ล่ะจริงไหม...” “…” และประโยคนั้นของเขาก็ทำให้เธอจนคำพูด แอชตันเห็นเธอนิ่งเงียบไปจึงชวนง่ายๆ ว่า “ไปกันเถอะ” ทว่าสริตายังคงอยู่ที่เดิม สีหน้าท่าทางของเธอผิดแผกไปจากเมื่อกี้นี้ลิบลับในตอนที่จ้องมองคนตรงหน้าซึ่งเป็นคนจัดการทุกๆ เรื่องในชีวิตของเธอนับตั้งแต่บิดาและพี่ชายจากไป “แอชตัน...” เป็นครั้งแรกที่เธอเรียกชื่อเขาตรงๆ อย่างไม่มีการประชดประชัน “หืม?” อีกครั้งที่คิ้วเข้มของเขาเลิกขึ้นสูงพลางมองเธอด้วยสายตาราวกับจะวิเคราะห์ว่าเธอเรียกเขาไว้ทำไม สริตาลอบกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเค้นเสียงถามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาหม่นเศร้าที่ยากจะบังคับ ขณะที่หัวใจดื้อดึงไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น และท่าทางของเธอก็ทำให้แอชตันก้าวตรงมาหาเธออย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันคาดคิด มหาเศรษฐีหนุ่มตรงหน้าก็ดึงร่างเธอเข้ามากอดและกดศีรษะเธอให้ซุกแนบอกเขา ขณะที่ความเข้มแข็งทั้งหมดของสริตาก็ทลายลงอีกครั้งต่อหน้าผู้ชายที่เธอเกลียดมากที่สุดอย่างแอชตัน แอดดิสัน หญิงสาวซบหน้ากับอกของเขาอย่างไม่ขัดขืน ขณะที่น้ำตาของความเจ็บปวดไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน “คุณรู้ไหมทำไมแด๊ดกับพี่ชายต้องขึ้นไปที่นั่นก่อนเวลาด้วย” “…” “ทำไมพวกเขาไม่รอฉัน เราจะได้ไปพร้อมกัน” ทั้งๆ ที่สัญญากันเอาไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะไปด้วยกัน ถ้าเพียงแค่เธอจะอยู่บนรถคันนั้นพร้อมกับพวกเขา วันนี้เธอก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสแบบนี้ สริตาร้องไห้ โดยไม่รู้เลยว่าเธอทำให้คนฟังใจหายมากแค่ไหน เขากอดร่างเล็กที่ปกติมักจะพยศกับเขาเอาไว้แนบอกแน่น ก่อนจะปลอบเธอด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ผิดกับดวงหน้าหล่อเหลาที่ยามนี้จ้องมองกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มของเธอด้วยความรู้สึกสงสาร “อย่าคิดอะไรแบบนี้ ไม่มีใครรู้เหตุผลที่พวกเขาขึ้นไปที่นั่น” อย่าว่าแต่เธอเลยที่สงสัย เขาเองก็ไม่เคยหายสงสัยเลยว่าทำไมเพื่อนสนิทกับบิดาถึงขึ้นเขาไปในเวลานั้น เหตุใดทั้งสองคนจะรีบร้อนด้วย แต่มันก็เป็นความลับที่ไม่มีใครไขออกได้ไปตลอดกาล เพราะคนที่รู้ต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว “บอกฉันได้ไหม” สริตาพูดพลางสะอื้น “ช่วยโกหกฉันก็ได้ว่านี่ไม่ใช่ความจริง” น่าแปลกที่ไม่ว่าใครต่อใครจะปลอบเธออย่างไร สริตาก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น คนเดียวที่เธอคิดว่าตัวเองพร้อมทำใจจะเชื่อกลับกลายเป็นคนที่เธอเกลียดอย่างเขา และเพราะเธอรู้ดีที่สุดว่าเขาเป็นคนเดียวที่จะไม่โกหกเธอ และแอชตันก็ทำอย่างนั้นด้วยการทำให้ความหวังของเธอแหลกสลายด้วยการบอกกับเธอตามตรงว่า “ฉันก็อยากจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่...มันคือความจริง” ----- หลังจากที่สติแตกและร้องไห้ราวกับคนหัวใจแหลกสลายไปอีกครั้ง สริตาก็มารู้สึกตัวก็ตอนที่แอชตันพาเธอขึ้นรถคาดิแลคสามตอนสีดำมันปลาบมุ่งหน้ากลับสู่บ้านของเธอซึ่งเป็นทาวเฮ้าส์อยู่ในย่านอัปเปอร์ อีสต์ ไซต์ ในระหว่างทางเธอก็ระงับอารมณ์ตัวเองได้แล้วและเลิกร้องไห้ แอชตันจึงส่งผ้าเช็ดหน้าให้เธอซับน้ำตาโดยไม่มีคำพูดล้อเลียนหรือถากถางใดๆ ให้เธอรู้สึกอายที่ต้องมาร้องไห้ต่อหน้าคนที่เธอเกลียดอย่างเขาอีกครั้ง สริตาเลือกที่จะไม่พูดแล้วเมินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างแทน ไม่นานนักเธอกับเขาก็มาถึงที่หมาย คาดิแลคสามตอนของชายหนุ่มจอดลงที่หน้าทาวเฮ้าส์พอดี เขาส่งสายตามองเธอเป็นเชิงให้ลงจากรถ ซึ่งคราวนี้สริตาไม่ขัด หญิงสาวตามเขาลงไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงห้องรับแขกหรูหรา น่าแปลกที่ที่นี่เป็นบ้านที่อบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรู้สึกของคำว่าบ้าน ทว่าวันนี้มันกลับให้ความรู้สึกเจ็บปวด เปล่าดาย เสียจนเธอนึกอยากจะวิ่งหนี แต่เธอไปไม่ได้ หญิงสาวจึงเลือกที่จะนั่งลงถัดจากแอชตัน ซึ่งนั่งตรงข้ามกับทนายความของบิดาซึ่งมารออยู่ก่อนแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็แจกแจงเกี่ยวกับพินัยกรรม หญิงสาวฟังทุกอย่างผ่านหูไป แต่กลับต้องมาสะดุดในเรื่องต่อมาที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึงเกี่ยวกับ...ผู้ปกครองของเธอ! “คุณว่ายังไงนะ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD