งานกีฬาสีมหาวิทยาลัย

1675 Words
งานกีฬาสีมหาวิทยาลัย นักศึกษาชั้นปีที่สองคณะนิติศาสตร์ถูกสโมสรนักศึกษาเรียกรวมตัวประชุมในห้องเรียนขนาดใหญ่ ที่สามารถบรรจุเด็กได้มากกว่าห้าร้อยคน ประธานสโมสรนักศึกษาเดินไปยังหน้าชั้นเรียน ประกาศข่าวสำคัญเกี่ยวกับงานกีฬาสีของมหาวิทยาลัยที่กำลังจะมาถึง เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นทันทีที่เสียงไมค์เงียบลงไม่เว้นแม้กระทั่งลูกตาลและขนมผิงที่นั่งคั่นกลางระหว่างนะโมและอังเปา “โอ๊ะเทศกาลที่ฉันรักมาถึงแล้ว” ลูกตาลเจ้าแม่สายกีฬาเอ่ยด้วยความตื่นเต้น หันไปพูดคุยงุ้งงิ้งอยู่กับขนมผิงสองคน “น่าเบื่อ” นะโมเอ่ยขึ้นอย่างเอือมระอา เธอไม่ชอบความครึกครื้นไม่ชอบเสียงดังและไม่ชอบทำกิจกรรม ดังนั้นขณะที่ทุกคนกำลังสนใจคุยเรื่องกิจกรรมกีฬาสีของมหาวิทยาลัย เธอจึงแอบปลีกตัวออกมานั่งตากแอร์ในห้องอ่านหนังสือของคณะเพียงลำพัง เปิดหนังสือกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินอ่านไปได้ไม่ถึงห้าหน้า เพื่อนสาวอย่างอังเปาก็เดินเข้ามาหานะโมด้วยสีหน้าอึดอัดคล้ายมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูดจนนะโมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน “มีอะไร” “ฉัน…อยากมาขอโทษ สำนึกผิดแล้วทีหลังจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนั้นอีก จริงๆ นะ” อังเปาหันหน้ามองนะโมด้วยแววตาเป็นลูกแมวน้อยที่กำลังออดอ้อนเจ้าของ เมื่อนะโมเห็นก็เผลอใจอ่อนวูบและหลุดยิ้มออกมาไม่รู้ตัว เห็นเธอดูเย็นชาและไม่สนใจโลกแบบนี้แต่จริงๆ แล้วเธอเป็นคนใจอ่อนมาก โดยเฉพาะกับคนที่เธอรัก “ถ้าแกกล้าตบฉันอีกรอบหน้าฉันตบแกคืนแน่” นะโมค่อยๆ เกลี่ยนิ้วโป้งลูบข้างแก้มอังเปาก่อนจะออกแรงบีบแก้มย้วนๆของเพื่อนสนิทด้วยความมันเขี้ยว “โอ้ย เจ็บนะแม่ป้า” “น้อยกว่าที่แกตบฉันก็แล้วกัน” “ตอนนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจนี่นา อารมณ์มันมาเยอะไปหน่อย แฮะๆ” “ยังจะกล้ายิ้มอีก!” “ฮือไม่ยิ้มแล้วค่าสำนึกผิดแล้ว” “รอบหน้าแกอย่าทำอีกนะ คุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ถ้าจะสติแตกก็กลั้นหายใจแล้วนับหนึ่งสองสาม ถ้าไม่สงบก็ระบายความโกรธเอาพอเหมาะ อย่าเยอะเกินจนเผลอลงมือหนักแบบนี้อีก ถ้าเมื่อวานคนที่โดนไม่ใช่ฉันแต่เป็นคนอื่นเรื่องคงวุ่นวายกว่านี้” “จ้าแม่ ลูกเข้าใจแล้วขอโทษจริงๆ นะ” “ไม่เอาโวยวายแบบคนบ้าไร้สติแล้วนะ” “อือ จะพยายาม” “รับปากแล้วก็ทำให้ได้ด้วย” “แกพูดแบบนี้คือหายโกรธแล้วใช่ป่ะ” “อืมมมม!” “เย้! รักแกที่สุดเลย” คนดีใจรีบโผเข้ากอดนะโมก่อนจะผละออกพร้อมกับใบหน้าขมวดคิ้ว “แล้วนี่ทำไมออกมานั่งอ่านหนังสือล่ะ ไม่สนใจงานกีฬาสีเหรอ” “แกเคยเห็นฉันสนใจกิจกรรมเหรอ?” “ก็จริง แต่โคตรเซ็งเลย” “ทำไม?” สีหน้าไม่พอใจของอังเปาทำให้นะโมรู้สึกสนใจ เธอวางหนังสือในมือลงพร้อมกับตะแคงหน้ามองเพื่อนรอคำตอบ “ปีนี้เราได้อยู่สีแดง” “แล้ว?” “ก็อยู่กับคณะวิศวะไง เซ็งฉิบ!” วิศวะ…โยธา เฮ้อเซ็งจริงๆ นั่นแหละ นะโมส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะกลับมาสนใจหนังสือต่อ “แต่ว่านะ คณะวิศวะมีแต่คนหล่อ ได้อยู่ด้วยกันก็จัดว่าไม่ใช่เรื่องแย่ เห็นด้วยไหม?” “อืม” นะโมเอ่ยตอบแบบขอไปทีไม่ได้สนใจ อย่างไรเสียในช่วงกิจกรรมแบบนี้เธอก็มักเก็บตัวอยู่แต่ห้องสมุดอยู่แล้ว “สาธุ ขอให้ได้เจอพี่โยธาบ่อยๆ ด้วยเถอะ” “ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้” ทันทีที่อังเปาพูดจบนะโมก็โพล่งขึ้นเสียงดังจนอังเปาสะดุ้งตกใจ คิ้วยาวเรียงตัวสวยขมวดเข้าหากันพลันตะแคงหน้ามองป้าแว่นของกลุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ “ฉันไม่ชอบผู้ชายคนนั้นอย่าพูดถึงอีก” “พี่โยธาอะนะ?” “อืม” “ทำไมล่ะ เขาออกจะหล่อแถมยังดูเป็นสุภาพบุรุษอีก” “จะคลั่งไคล้หมอนั่นฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่อย่ามาคลั่งข้างหูฉันก็พอ” แม้อังเปาจะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมนะโมถึงไม่ชอบโยธา แต่เธอก็ไม่อยากเซ้าซี้กวนใจเพื่อน ด้วยรู้ดีว่าอะไรที่นะโมไม่อยากพูดคาดคั้นไปก็ไร้ประโยชน์ “งั้นเดี๋ยวฉันกลับเข้าไปประชุมก่อนนะ” “เดี๋ยว!” “หือ?” “ทีหลังเวลาแกไปปาร์ตี้ดูแก้วดีๆ นะ เผื่อมีใครใส่อะไรลงไป” “แกหมายความว่าไง?” “ครั้งที่แล้วแก้วแกมียาปลุกเซ็กส์ฉันเผลอดื่มเข้าไปเลยรู้” “แล้วแกเป็นไงบ้าง!” อังเปารีบกลับมานั่งข้างนะโมด้วยท่าทางตกใจ “ไม่มีอะไรหรอกแต่แกก็ระวังไว้ดีๆ ก็แล้วกัน” “อืมได้ ดีนะที่แกไม่เป็นอะไร” “อืม” สำหรับนะโมเรื่องผิดพลาดและน่าอายแบบนั้นไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้ หลังจากอังเปาเดินออกไปแล้วนะโมก็หันมาสนใจหนังสือต่อ ทว่ายังไม่ทันพลิกกระดาษอ่านหน้าถัดไป หนังสือกองโตหลายเล่มก็ถูกวางลงฝั่งตรงข้ามเธอ พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าสวยแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาทันทีที่เงยหน้ามาเจอเขา “สวัสดีครับน้องนะโม” “สตอล์กเกอร์หรือไง ประสาท!” “นี่เธอจะด่าพี่ไปถึงไหนหื้ม” “ใครสั่งให้โผล่หน้ามาให้ด่าล่ะ” “พี่แค่มาทำงาน” “คณะวิศวะไม่มีห้องสมุดหรือไง ถึงต้องโผล่มาที่คณะนิติ” “หนังสือที่นี่มีประโยชน์กับงานพี่ไง แต่ช่างเถอะอธิบายไปก็ยืดยาว ว่าแต่ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะ” “….” นะโมเลือกเมินเฉยไม่ได้เอ่ยตอบ ซึ่งโยธาก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรเธอมากนัก เขาเลือกที่จะกางโน้ตบุ๊คนั่งทำงานของตัวเองไปเงียบๆ พร้อมกับเงยหน้ามองนะโมบ้างเป็นครั้งคราว “รู้ไหมว่าพวกหนังสือกฎหมายลิขสิทธิ์อยู่ตรงไหน” “…” “นะโม” “แถวที่สามชั้นสองล็อกหนึ่ง ไปหาเอาเอง” นะโมถอนหายใจเอ่ยตอบตัดความรำคาญ แต่คำตอบของเธอนั้นทำเอาโยธาถึงกับกระตุกยิ้ม ไม่คิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะความจำดีจำได้แม้กระทั่งว่าหนังสืออะไรวางตรงไหน โยธาเรียนวิศวะคอมพิวเตอร์และกำลังพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบหนึ่งให้สำเร็จ กระทั่งมาจนถึงตอนนี้เขาก็เกือบทำสำเร็จแล้วเลยเตรียมตัวหาข้อมูลเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์เพื่อทำความเข้าใจคร่าวๆ ชายหนุ่มหยิบหนังสือที่ต้องการเสร็จก็เดินกลับมาที่โต๊ะ แต่ปรากฏว่าหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขาหายตัวไปเสียแล้ว “หนีเก่งเสียจริง แต่หนีพี่ไม่พ้นหรอกนะโม” ใบหน้าหล่อกระตุกยิ้มอีกครั้ง “ยิ้มไรวะไอ้หล่อ” เขื่อน เพื่อนสนิทโยธาตั้งแต่มัธยมเดินเข้ามาเกาะไหล่เพื่อนพร้อมนั่งลงข้างๆ “ไม่มีไร” “ชิ ความลับอีกละ มาคณะกูยังกล้ามีความลับกับกูอีกเหรอ” “….” โยธาไม่ได้เอ่ยตอบทำเพียงมองไปยังประตูทางออกและนั่งยิ้มอยู่คนเดียวจนเขื่อนส่ายหน้าคิดว่าโยธาเรียนหนักจนบ้าไปแล้ว “เออไอ้โยธาพรุ่งนี้ตอนเที่ยงแวะมารับกูที่คณะด้วยนะ แล้วค่อยออกไปกินข้าวกับไอ้เดย์” “รถมึงล่ะ” “ซ่อม! น้องกูแม่งขับไม่ดูทางชนขอบฟุตบาทเป็นรอยถากลากยาวตอนนี้กูเลยเอาไปทำสีใหม่อยู่” เขื่อนพูดไปพลางหยิบหนังสือกองโตตรงหน้าออกมาเปิดเล่นพลาง ซึ่งทันใดนั้นเองเขาก็ได้พบกับกระดาษโพสอิทแผ่นหนึ่งติดอยู่บนปกหนังสือเล่มที่สองนับจากบนสุด ‘ไอ้คนโรคจิต!’ “เชี้ยอะไรวะเนี่ย ใครมาแปะโพสอิทที่ปกหนังสือมึงวะ” เขื่อนหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาดูอย่างขบขัน โยธาหยิบมาดูซ้ำพลันยกยิ้มออกมาด้วยจำได้ว่าลายมือบนกระดาษแผ่นนี้เป็นลายมือของนะโม เมื่อครู่ตอนนะโมอ่านหนังสือเขาแอบมองอยู่หลายครั้งจนเห็นตัวอักษรภาษาไทยที่ถูกเขียนลงบนกระดาษด้วยตัวบรรจง แม้จะเขียนอย่างรวดเร็ว แต่ตัวหนังสือกลับเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม เรียกได้ว่าลายมือเป็นเอกลักษณ์ก็ว่าได้ “กูดูเหมือนโรคจิตเหรอ?” โยธาเอ่ยถามเพื่อน “อืม….กูเหมือนกว่า” ทั้งคู่ต่างหัวเราะขบขัน ร่างสูงหยิบกระดาษแผ่นนั้นพับเก็บใส่กระเป๋าตังค์ ก่อนจะนั่งอ่านหนังสือต่อทำงานต่อ แสงแดดคล้อยลับขอบฟ้า นะโมที่กลับมานอนช่วงบ่ายสามก็ตื่นขึ้นตอนประมาณเกือบหกโมงเย็นด้วยอาการท้องร้องหิวข้าว เธอลากสังขารที่เพิ่งตื่นทั้งยังหัวฟูไม่เข้าทรงเดินออกมาใส่อีแตะช้างดาวคู่ละเก้าสิบเก้าลงไปเซเว่นหน้าคอนโด สภาพไม่ต่างจากศพเดินได้ เสื้อตัวใหญ่คลุมขาอ่อนจนมองไม่เห็นกางเกงขาสั้น ผมเผ้ารุงรังที่ถูกมัดหลวมๆ ใบหน้าเหมือนแมวเซาที่ยังไม่ตื่นนอน ทั้งยังหน้าสดไร้เครื่องสำอางที่ไม่มีแม้แต่สีของลิปสติกสักนิดเดียว โชคดีที่เธอเป็นคนปากอมชมพูอยู่แล้วทำให้ไม่ได้ดูซีดเหมือนศพมากนัก ตึก ตึก ตึก หญิงสาวเดินก้มหน้าไปตามทางเดิน ก่อนจะหยุดเท้าทั้งสองข้างหลังจากมีคนเดินมาขวางหน้าเธอไว้ “เธอไปผ่านสงครามมาเหรอทำไมสภาพถึง….” “ทำไมเป็นนายอีกแล้วล่ะ” “แล้วทำไมเป็นพี่ไม่ได้?” “เฮ้อ…หลบ จะเดิน” “จะไปไหนเหรอ?” “….” “ไปด้วยสิ” นะโมไม่ได้สนใจเดินตรงไปยังเซเว่นหน้าคอนโดโดยมีโยธาตามติดเป็นเงาตามตัว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD