ตอนที่ 6
ค้างกับผมได้มั้ย
ยิ่งอยู่ใกล้เธอ เขาก็ยิ่งอยากจะรุกเข้าไปมากกว่านี้
“มนแค่พูดตามความจริงค่ะ แม้ทางคุณสุรีย์พรจะบอกว่าถ้าการเจรจาครั้งนี้สำเร็จจะเลื่อนตำแหน่งให้มนก็ตาม”
มนชิดา เอ่ยต่อเสียงราบเรียบ ตาคู่สวยยังคงจ้อง ไผแดงตรงหางคิ้วของเขา
“อืม งั้นเหรอครับ”
ปริญ วางช้อนส้อมในมือลง หยิบผ้าขาวมาเช็ดมุมปากเบาๆ และรับแก้วไวน์มาจิบช้าๆ อย่างใจเย็น
จู่ๆเขาก็ไม่รู้สึกอยากทานต่อ
“แต่ถ้าหากคุณปริญรู้สึกคุ้มค่าที่จะลงทุนก็แล้วแต่นะคะ แต่สัดส่วนของภาสกรควรจะมากกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์”
เพราะความกังวลในผลประโยชน์ของ ตะวัน ที่ตอนนี้เธอลืมไปว่าเขาคือ ปริญ ทำให้มนชิดาเอ่ยเช่นนั้น เป็นเหตุให้หน้าหล่อเหลายิ้มกว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“คืนนี้ค้างกับผมซิครับ?”
เสียงทุ่มต่ำนั้น ทำให้หน้าของ มนชิดา ผ่าวร้อนขึ้นมาแทบจะทันที เมื่อเขาถามเธอตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม
ปริญ ช่างแตกต่างจากตะวัน เสียเหลือเกิน
“คุณปริญ!”
มนชิดา มองเขาอย่างตระหนก เขาคือคนเดียวกับตะวัน ก็จริง แต่ทุกอย่างไม่มีส่วนคล้ายกันแม้แต่น้อย ทั้งแววตาลุ่มลึกคมกริบที่ไม่ยอมคน และท่าทางการเปิดเผยตัวตนที่แสดงออกในตอนนี้ ผิดจากที่เธอคาดคิดไว้มาก
เธอเริ่มใจเต้นแรง และวางตัวไม่ถูก
“ตั้งแต่ได้เจอและจูบคุณเมื่อวาน ผมกระวนกระวายใจมากจนปวดหัวนอนไม่หลับเลย คุณต้องรับผิดชอบนะ”
เสียงของเขาคล้ายจะนุ่มนวล แต่แฝงความรุกเร้าในที
เขาไม่ใช่อย่างที่เธอคิดไว้...
“คุณปริญไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ยคะ”
มนชิดา แสร้งเอ่ยกลบเกลื่อน หน้าสวยเบี่ยงสายตาหลบด้วยไม่อาจต้านทานคนตรงหน้าได้
“ทำไมถึงคิดว่าผมพูดเล่นละครับ”
มือหนาวางแก้วไวน์ลง ร่างสูงเหยียดลุกขึ้น เดินอ้อมมาหาเธอ ก่อนจะโน้มหน้าหล่อเหลาลงมาใกล้ จนลมหายใจอุ่นร้อนของเขารดรินอยู่ข้างแก้มเนียน
“คุณปริญปวดหัวเพราะกินกุ้งเหรอเปล่าคะ แต่ก่อนกินกุ้งทีไรจะแพ้และปวดหัวตลอด”
พอเอ่ยไปแล้ว มนชิดา ก็อยากจะตบปากตัวเอง
เขาคือ ปริญ ไม่ใช่ตะวัน ผู้ที่เคยแพ้กุ้งและจะปวดหัวแทบทุกครั้งจนแทบจะนอนไม่ได้
“คุณรู้ได้ยังไง?”
หน้าหล่อเหลาชะงักเล็กน้อย มองเธออย่างงุนงง
ใช่ เขาแพ้กุ้งมาตั้งแต่เด็ก และจะปวดหัวทุกครั้งที่กิน แต่เรื่องนี้มีเพียงคนในครอบครัวและเลขาคนสนิทของเขาเท่านั้นที่รู้
และเธอ คนที่เขาเพิ่งจะเจอไม่กี่วัน ..รู้ได้อย่างไร?
“อะ..เอ่อ มนเดาอะคะ เพราะเพื่อนๆที่ออฟฟิศชอบบ่นกันแบบนี้เวลากินกุ้ง”
คำตอบของเธอเหมือนจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก เพราะเหมือนปริญ จะเลิกคิ้วสูงขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“หือ เหมือนผมจะโดนคุณตกแล้วครับ”
ปริญ กระซิบเสียงทุ่มต่ำข้างหูของเธอ มือหนาตรึงเอวเธอไว้ไม่ให้ขยับจากเก้าอี้ มืออีกข้างลูบไล้โคนขาอ่อนที่โผล่พ้นกระโปรงเดรสสั้นอย่างย่ามใจ
“คุณปริญ”
ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อย ไม่คาดว่าตัวเองจะโดนจู่โจมแบบนี้ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจมือหนาไล้สูง พร้อมก้มลงสูดดมกลิ่นหอมจากซอกคอระหง
“ชู่ว์ อย่าขยับครับ คุณมีความผิดอยู่”
“ความผิดอะไรคะ?”
ขนอ่อนในกายเธอเริ่มลุกชูชัน สายตาเปรยมองรอบข้างแต่นี่เป็นห้องส่วนตัววีไอพี และมีคนของเขานั่งอยู่ด้านนอก คงไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่มย่ามหากนายไม่อนุญาต
“ความผิดที่ทำให้ผมสับสน ว้าวุ่นใจปวดหัวแทบระเบิด”
เขาตอบเสียงแหบพร่า แต่หน้าหล่อเหลายังคงไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย ในขณะที่นิ้วเรียวแข็งไล้โคนขาอ่อนจะถึงขอบแพนตี้ตัวบางของเธอ
“มนจะกลับละค่ะ”
“บอกมาก่อน ทำไมถึงรู้ว่าผมแพ้กุ้ง”
“อื้อ..”
มนชิดา บีบตัวเกร็งเมื่อนิ้วเรียวแข็งชอนเข้าไปยังขอบแพนตี้ และแยกแหวกกลีบกุหลาบนุ่มออก คลึงเคล้าติ่งเกสรอ่อนไหวด้านในอย่างย่ามใจ
“เรารู้จักกันมาก่อนใช่มั้ย คุณรู้เรื่องของผม”
เสียงเขาเข้มดุ นิ้วแข็งบดคลึงเนื้ออ่อน มืออีกข้างตรึงเอวเธอไว้แน่นไม่ให้ดิ้นหนี แขนขาเธอพลันอ่อนระทวยไม่มีเรี่ยวแรง ความเสียวซ่านแผ่ทั่วท้องน้อยและทั่วร่าง
“ฉัน มะ..ไม่รู้ อื้อ”
ตั้งใจจะมา คุมเกมส์เขาเพราะรู้ข้อมูลในอดีต แต่ตอนนี้เหมือนเธอจะโดนเขาคุมเกมส์มากกว่า
“คุณโกหกนะครับ”
ปลายนิ้วขยับไม่หยุดหย่อนระรัวถี่ขึ้น จนรู้สึกได้ถึงความฉ่ำวาวของน้ำหวานที่เริ่มพร่างพรูหลั่งไหลตามขาอ่อน
“อื้อ ยะ..อย่า มนไม่ไหวแล้ว”
มนชิดา กัดริมผีปากไว้แน่นจนเหมือนจะห้อเลือด ด้วยเกรงจะเปล่งเสียงที่น่าละอายออกไป บั้นท้ายเธอขยับยกขึ้นตามแรงจังหวะนิ้วของเขา ความเสียวกระสันแผ่ไปทั่วร่าง
อยากกอดศรีจัง อยากมีอะไรด้วย
เสียงของตะวัน ที่บอกศรีไพร ดังแว่วเข้ามาในหู ภาพต่างๆมากมายปรากฎชัดขึ้น
“อ๊า อ๊าย”
เธอครางออกมาด้วยสุดจะกลั้น เมื่อสมองเริ่มพล่ามัว ลมหายใจหอบกระเส่าถี่เร็ว ร่างบางสั่นระริกก่อนจะกระตุกเกร็งแรง และปลดปล่อยน้ำหวานมากมายออกมาจนชุ่มนิ้วของเขา
“อืม”
ปริญ ยิ้มมุมปากเล็กน้อย หยุดการเคลื่อนไหวเพียงชั่วครู่เมื่อเห็นกริยาของเธอ แต่มือหนายังทาบทับอยู่กับเนินเนื้ออวบอูมและไล้เบาๆอย่างอ้อยอิ่ง
“เสียงครางคุณหวานดีจัง ...ผมอยากฟังทั้งคืนเลย”
**********************