สามปีก่อนหน้านี้...
คฤหาสน์ชัยบดินทร์
ภายหลังเรียนจบจากคณะนาฏศิลป์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ด้วยเงินทุนการศึกษาของ ซี.บี.กรุป บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มประเภทเบียร์ โซดา น้ำดื่มและน้ำแร่ชื่อดังของไทย ที่เธอได้รับมาตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งจนจบปริญญาตรี
กระทั่งวันนี้ภูษิตาก็ได้มีโอกาสตอบแทนพระคุณเจ้าของทุนการศึกษาโดยการมารำอวยพรในงานวันเกิดของ เจ้าสัวจิรายุ ชัยบดินทร์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทและเขาก็เป็นคุณปู่ของเจษฎ์ด้วย ซึ่งเจษฎ์ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารบริษัทอยู่ในตอนนี้
ทันทีที่เสียงดนตรีไทยดังขึ้นเสียงปรบมือให้กับนางรำคนสวยที่ก้าวขึ้นมาบนเวทีเรียกสายตาเกือบทุกคู่ในงานให้หันมามอง ซึ่งเจษฎ์เองก็เป็นหนึ่งในหลายคนที่กำลังมองมาที่เธอ
นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขามองเธอตรงๆ แบบนี้ แต่มันอาจจะเป็นครั้งที่ร้อยสำหรับเธอกับการได้แอบมองเขาแบบนี้
หญิงสาวได้เจอกับเขาเป็นครั้งแรกในตอนที่เธอมีอายุเพียงสิบสามปีในวันที่เธอได้รับมอบทุนการศึกษาในโครงการเด็กยากจนแต่เรียนดีจากมือของเขา ส่วนเขาในตอนนั้นมีอายุยี่สิบสี่แล้ว และแม้จะผ่านไปนานหลายปี แต่เขาก็ยังเป็นผู้ชายที่ดูดีไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
เจษฎ์ ชัยบดินทร์ เป็นผู้ชายที่มีบุคลิกสุขุม เยือกเย็น เขาเป็นคนพูดน้อยแต่พูดออกมาแต่ละคำเรียกได้ว่าเด็ดขาดและน่าเกรงขาม เช่นเดียวกับน้องชายของเขาอีกคนหนึ่งนั่นก็คือ จิณณ์ ชัยบดินทร์ น้องชายที่มีอายุน้อยกว่าเขาสองปี แต่รูปร่างหน้าตาและบุคลิกนั้นแทบไม่มีอะไรผิดแผกจากกันแม้แต่น้อย
เธอทราบมาว่าสองพี่น้องต้องกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่พวกเขาอายุได้สิบขวบด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้คุณปู่ค่อนข้างเคร่งครัดกับสองพี่น้องมากแต่ท่านก็ให้ความรักกับหลานชายอย่างดีเยี่ยมทำให้พวกเขาไม่รู้สึกขาดความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
เธอรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเขา ในขณะที่เขาคงไม่รู้จักเธอเลย...
ไม่รู้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้แอบมีใจให้เขามาอย่างยาวนานแค่ไหน และเธอก็ได้แต่ลอบมองเขาทุกครั้งที่ได้พบกันในงานมอบทุนการศึกษา ครั้งหนึ่งเธอได้มีโอกาสเข้าไปเสิร์ฟน้ำให้เขาตอนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีหนึ่ง และเขาก็พูดกับเธอด้วยเสียงทุ้มน่าฟังว่า ‘ขอบใจ’
เพียงเท่านั้นก็ทำให้เธอยิ้มได้ทั้งวันราวกับคนบ้าแต่เธอก็รู้ดีว่าเขาจะไม่มีวันชายตาแลคนอย่างเธออย่างแน่นอน
ภูษิตาเป็นเด็กสาวที่อาศัยในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ พ่อแม่ของเธอมีอาชีพทำไร่ทำนาเหมือนชาวบ้านแถวนั้น กระทั่งโรงเรียนเสนอชื่อเธอไปขอรับทุนการศึกษาจากโครงการคืนความสุขสู่สังคมของเครือ ซี.บี.กรุป เธอจึงได้รับทุนต่อเนื่องมาตลอดพอจบชั้นมัธยมปลาย เธอจึงได้ย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ โดยพักอยู่ที่หอพักใกล้กับมหาวิทยาลัยจนจบการศึกษา แต่ก่อนที่เธอจะได้ไปสมัครงานในโรงเรียนนาฏศิลป์ ตัวแทนเจ้าของทุนก็ได้แจ้งว่าอยากให้เธอไปรำอวยพรให้ท่านเจ้าสัว และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวของเขาและเธอในวันนี้...
หลังจบการแสดง ท่านเจ้าสัวก็ได้เรียกเธอให้ไปที่โต๊ะวีไอพีซึ่งมีท่านนั่งอยู่กับหลานชายอีกสองคน
“หนูรำสวยมากเลยนะ เมื่อกี้ตอนอยู่บนเวทีฉันนึกว่าได้เห็นนางอัปสรลอยมาจากสวรรค์เลยล่ะ ได้ยินว่าหนูเป็นนักเรียนทุนของเราด้วยใช่มั้ย” ท่านเอ่ยชื่นชมด้วยความเอ็นดู
“ใช่ค่ะท่าน” เธอตอบเสียงหวาน หัวใจเต้นตึกตักเมื่อเห็นว่าเจษฎ์กำลังมองมาที่เธอตรงๆ
“ดีเลย งั้นฉันให้อั่งเปาหนูนะ ถือว่าเป็นค่าเหนื่อยของหนูในวันนี้”
ชายชราหันไปหยิบซองอั่งเปาที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะขึ้นมาซองหนึ่งแล้วยื่นให้กับเธอ ทว่าหญิงสาวกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“เอ่อ หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะท่าน หนูได้มีโอกาสเรียนหนังสือจนจบได้ก็เพราะเงินของท่าน ตอนที่ได้รับการติดต่อให้มารำอวยพร หนูก็ตั้งใจว่าจะรำให้สวยที่สุดให้เป็นของขวัญวันเกิดของท่านค่ะ เพราะฉะนั้นหนูขอไม่รับนะคะ หนูตั้งใจมาตอบแทนพระคุณของท่านจริงๆ ค่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นเจ้าสัวก็รู้สึกประหลาดใจและพอใจไม่น้อย
“อ้อ อย่างนั้นเหรอ หนูนี่ท่าทางเป็นเด็กดีนะ แต่ยังไงฉันก็อยากให้หนูรับเอาไว้ เงินทุนการศึกษาที่หนูได้รับกับเงินในซองนี้เป็นคนละส่วนกัน การที่หนูได้ทุนก็แปลว่าหนูเป็นคนเรียนเก่งตั้งใจเรียน เราจึงได้สนับสนุนให้หนูได้เรียนสูงๆ แต่การรำในวันนี้เป็นคนละส่วนกัน ในเมื่อหนูมอบรอยยิ้มให้กับฉันและแขกที่มาร่วมงาน หนูก็ควรจะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทนเหมือนกัน”
“แต่ว่า...”
“รับไปเถอะ การปฏิเสธเจ้าของวันเกิดไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่นะ”
เสียงของเจษฎ์ดังขึ้นเมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของเธอและนั่นก็ทำให้เธอไม่กล้าปฏิเสธท่านเจ้าสัวอีก
ไม่ใช่เพราะว่ากลัวเขา แต่เธอไม่อยากเป็นคนไม่น่ารักในสายตาของเขาต่างหาก
“ขอบพระคุณค่ะท่าน”
เธอยกมือไหว้แล้วยื่นมือไปรับซองอั่งเปาในที่สุด ก่อนจะค่อยๆ ถอยออกไปจากตรงนั้นเพราะคิดว่าหมดธุระของเธอแล้ว