“น้องชมพู่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วเหรอคะ”
เสียงของทีมงานจัดการแสดงเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเธอออกมาจากห้องแต่งตัวพร้อมกับกระเป๋าสะพาย
“ค่ะพี่หน่อย พู่ว่าจะกลับแล้วค่ะ”
“อย่าเพิ่งกลับสิคะ ไปนั่งกินข้าวด้วยกันก่อน”
“เอ่อ ไม่ดีกว่าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้วเดี๋ยวรถเมล์จะหมดก่อนค่ะ อีกอย่างพู่ก็ตั้งใจมารำอวยพร เสร็จงานแล้วก็ควรจะกลับค่ะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณเจษฎ์ท่านกำชับไว้ว่าต้องดูแลทีมงานนักแสดงทุกคนให้ดี ให้ถือว่าทุกคนเป็นแขกในงานของท่านเจ้าสัวเหมือนกัน”
“คุณเจษฎ์เหรอคะ”
“จ้ะ เดี๋ยวหนูตามพี่มาทางนี้นะ โต๊ะของทีมงานอยู่ทางนี้จ้ะ”
ว่าแล้วทีมงานคนนั้นก็จูงมือเธอไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่ด้านหลังเวทีการแสดงซึ่งมีอยู่สามโต๊ะ จากนั้นก็ปล่อยให้เธอนั่งกินอาหารร่วมกับคนอื่นๆ ซึ่งภูษิตาค่อนข้างรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยเนื่องจากครึ่งโต๊ะที่นั่งอยู่เป็นผู้ชายและเพราะเธอเป็นคนสวยก็เลยถูกพวกเขาจ้องเอาๆ ราวกับจะกลืนกินกันทั้งตัว
เห็นอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่อยากกินต่อ เธอจึงได้ลุกจากโต๊ะแล้วเดินอ้อมไปทางสระว่ายน้ำด้านหลังคฤหาสน์เพื่อจะได้เลี่ยงคนหมู่มากที่อยู่ตรงสนามหญ้าด้านหน้า แต่เดินไปเดินมาก็เหมือนจะหลงทางเพราะเธอหาทางออกไปยังประตูรั้วด้านหน้าไม่ได้สักที และเมื่อเธอมาถึงหน้าห้องหนึ่งเธอก็ได้ยินเสียงคนคุยกันเป็นเสียงผู้หญิงสองคน
“แน่ใจนะว่าคุณเจษฎ์ดื่มแล้ว”
“แน่ใจค่ะ หนูเป็นคนเสิร์ฟเครื่องดื่มกับมือ แล้วก็มองจนแน่ใจว่าคุณเค้าดื่มแล้วจริงๆ”
“ดีมาก นี่ค่าจ้างของแก รับเงินแล้วรีบกลับไปซะก่อนจะมีใครรู้ว่าแกเป็นคนเสิร์ฟ”
“ได้ค่ะคุณ ขอบคุณมากนะคะ”
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาใกล้ประตู ภูษิตาจึงได้รีบก้าวถอยหลังแล้วไปหลบอยู่ที่มุมเสา มองผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในชุดบริกรเดินออกไป ก่อนที่ผู้หญิงอีกคนที่แต่งตัวสวยจัดจะก้าวตามออกมา
สิ่งที่ได้ยินทำให้ภูษิตารู้สึกกังวลใจมาก เพราะเท่าที่จับใจความได้เหมือนว่าเจษฎ์กำลังถูกวางยาอะไรสักอย่าง
แล้วถ้ามันเป็นยาพิษล่ะ ถ้าผู้หญิงสองคนนี้วางแผนฆ่าเขาในงานวันเกิดของท่านเจ้าสัว เธอควรจะทำยังไงดี...
แม้สมองจะยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ตอนนี้สองเท้าของเธอก็ก้าวไปยังทางเดิมที่เพิ่งเดินจากมา ก่อนจะไปยืนแอบอยู่หลังเวทีแล้วมองหาเจษฎ์ที่โต๊ะวีไอพี แต่ตอนนี้เขากลับไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิมแล้วเช่นเดียวกับน้องชายของเขา
หรือว่าสองพี่น้องจะถูกวางยาด้วยกันทั้งคู่!
ภูษิตากวาดสายตามองไปทั่วบริเวณหน้าเวทีแต่ก็ยังมองไม่เห็นแม้เงาสองหนุ่มทายาทเจ้าของงาน ครั้นจะเดินออกไปบอกท่านเจ้าสัวท่านก็คงจะหาว่าเธอบ้าและทำลายงานของท่านเสียเปล่าๆ เพราะหากว่าเธอเข้าใจผิดไปเองดีไม่ดีก็อาจจะโดนฟ้องจนต้องติดคุกติดตะราง
แต่จะให้เธออยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเธอก็ไม่สบายใจอยู่ดี
หญิงสาวตัดสินใจเดินไปถามหาเขาจากบริกรคนอื่นที่อยู่แถวนั้นจนได้ความว่าเห็นเจษฎ์กับจิณณ์เดินเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยกัน เธอจึงได้รีบเดินไปตามหาพวกเขาทันที แต่หญิงสาวเดินมาถึงแค่หน้าประตูคฤหาสน์ก็ได้พบกับสองพี่น้องที่เดินออกมาพอดี
“คุณเจษฎ์คะ คือหนูมีเรื่องจะบอก...”
“อย่าเพิ่งบอกอะไรตอนนี้เลย พี่เจษฎ์ต้องไปโรงพยาบาล”
จิณณ์เป็นคนบอกเธอและนั่นก็ทำให้หญิงสาวตกใจมาก ยิ่งเมื่อมองหน้าเจษฎ์ชัดๆ เธอก็เห็นว่าเขามีเหงื่อผุดซึมออกมา ดวงตาและใบหน้าแดงก่ำราวกับคนเมา
“นี่ยาออกฤทธิ์แล้วเหรอคะ”
“เธอรู้เหรอ” จิณณ์กับเจษฎ์ที่แทบไม่มีสติหันมองหน้ากันแล้วหันกลับมามองหน้าเธอ
“คือหนูได้ยินผู้หญิงสองคนนั้นพูดกันว่าพวกเธอวางยาคุณ แต่หนูไม่รู้ว่ายาอะไร”
“ผู้หญิงสองคนไหน” จิณณ์เป็นคนถาม
“หนูก็ไม่รู้จักค่ะ คนหนึ่งเป็นบริกรที่เสิร์ฟเครื่องดื่มค่ะ อีกคนเป็นผู้หญิงสวยๆ สวมชุดเดรสเกาะอกสีเทา”
“เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ ด้วยครับพี่เจษฎ์” จิณณ์หันมาคุยกับพี่ชายที่ตัวสั่นราวกับคนที่กำลังป่วย
“อืม นายไปจัดการเถอะ พี่ไปโรงพยาบาลเอง อย่าให้คุณปู่รู้ล่ะ ไม่งั้นท่านจะไม่สบายใจ”
“งั้นผมจะหาคนไปกับพี่ด้วย ขืนปล่อยให้พี่ขับรถไปเองกลัวจะไม่ถึงโรงพยาบาล”
“ไม่ต้อง ขืนยกโขยงกันไปจะผิดสังเกต พี่ยังพอทนไหว โรงพยาบาลก็อยู่ไม่ไกลมากน่าจะยังทัน”
“แต่ว่า...”
“งั้นให้หนูไปด้วยมั้ยคะ หนูจะได้ช่วยดูแลคุณเจษฎ์ระหว่างทาง”
“ไม่ได้!” เจษฎ์ตวาดลั่นจนภูษิตาตกใจ
“แต่ผมว่าให้เธอไปด้วยดีกว่าปล่อยพี่ไปคนเดียวนะครับ”
“พี่บอกว่าไม่ไง นายก็รู้ว่าพี่...ไม่เหมาะที่จะอยู่กับใครในตอนนี้ โดยเฉพาะ...ผู้หญิง” เจษฎ์กดเสียงต่ำทั้งยังแสดงออกว่าไม่อยากให้เธอไปด้วย จนทำให้เธอคิดว่าเขาคงจะรังเกียจเธอมากหรือไม่ก็อาจจะไม่ไว้ใจเธอก็เป็นได้
“งะ...งั้นหนู...ไปก่อนนะคะ ขอโทษที่วุ่นวายค่ะขอให้คุณเจษฎ์หายไวๆ นะคะ” เธอยกมือไหว้คนทั้งสอง ก่อนจะเดินออกไปทางด้านหน้าประตูรั้วของคฤหาสน์